Blog Page 177

ตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง (ตู้คีออส)

ตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง (ตู้คีออส)

1.ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง (ตู้คีออส ) รับรายงานทางอีเมล ได้ทันที

ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร อาคาร เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระรามเก้า ชั้น 2 (โซนพลาซา) (อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT พระราม 9 และอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล พระราม 9)
เครดิตบูโรคาเฟ่ อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ชั้น 3 (BTS สถานีอารีย์ ทางออก 1) (ให้บริการวันที่ 31 ก.ค. 68 เป็นวันสุดท้าย)
ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจ-เวนิว (นวนคร) ชั้น 1
สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) (ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1 จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข ๙)
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (สำนักงานใหญ่) อาคารเคเคพีทาวเวอร์ ชั้น 1 ใกล้ประตูทางเข้าอาคาร
อาคารสาธรนครทาวเวอร์ ชั้น 1 โซนตู้เอทีเอ็ม (BTS ช่องนนทรี ทางออก2)
ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย (อาคาร A) ชั้น 2 โถงต้อนรับเยื้องจุดสอบถาม

2. ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง (เครื่อง Tablet ) รับรายงานทางอีเมล ได้ทันที

 

ข้อความต้อนรับ

|

วัตถุประสงค์ในการจัดทำเว็บไซต์นี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ต่อสาธารณชนในเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับบริษัทข้อมูลเครดิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

ในอนาคตอันใกล้นี้ “บริษัทข้อมูลเครดิต” จะเป็นสิ่งคุ้นเคยในวงการธุรกิจไทย สำหรับความเป็นมานั้น เราจะพบว่าบริษัทข้อมูลเครดิตได้ตั้งขึ้นมานานนับศตวรรษในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นบทพิสูจน์อย่างดีถึงประโยชน์ที่ผู้ใช้ข้อมูลเครดิตได้รับ นอกจากนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตยังได้เอื้อประโยชน์ในการประเมินความเชื่อถือของผู้ขอสินเชื่อและช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างผู้ขอสินเชื่อและผู้ให้สินเชื่อด้วย สำหรับประโยชน์ในระยะยาว บริษัทข้อมูลเครดิตยังช่วยตรวจสอบ และป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งการฉ้อฉลในการกู้ยืมอีกด้วย

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาต่างๆ จะเป็นประโยชน์กับท่าน ในการใช้เครดิตข้อมูลเครดิตของท่านอย่างเป็นประโยชน์ และชาญฉลาดต่อไป

 

ประวัติบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

|

แนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิตนั้น ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 โดยสมาคมธนาคารไทยได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่ามีความประสงค์ให้มีแหล่งกลางสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดความเสี่ยงในการให้กู้ และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับธนาคารพาณิชย์ โดยขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นแหล่งกลางในการรวบรวมข้อมูล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มงานทะเบียนเครดิตกลางขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนกระทั่งปี 2538 รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้จัดทำแผนพัฒนาระบบการเงินขึ้น โดยกล่าวถึงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิตไว้ในส่วนขององค์กรทางการเงินที่สนับสนุนการพัฒนาระบบการเงิน และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านศูนย์ข้อมูลเครดิตขึ้นในปี พ.ศ. 2538 เพื่อศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมและดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต ซึ่งคณะทำงานดังกล่าว ก็ได้ดำเนินการจนกระทั่งจะมีการลงนามในข้อตกลงร่วมทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตในประเทศสหรัฐ อเมริกา ในปี พ.ศ. 2539 แต่ในระหว่างปี พ.ศ. 2539 ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในประเทศไทย สถาบันการเงินถูกปิดกิจการไปจำนวนมาก และวิกฤตเศษฐกิจดังกล่าวนี้ก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิตหยุดชะงักไป จนกระทั่งปี พ.ศ. 2541 กระทรวงการคลังได้ยืนยันนโยบายให้มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อและลดภาระหนี้เสียของสถาบันการเงินต่างๆ อันเป็นปัญหาใหญ่และเร่งด่วนของสถาบันการเงินในประเทศอยู่ในขณะนั้น ในเดือนกรกฎาคม 2541 ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จึงได้สั่งการให้ ธอส. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิตขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ประกาศนโยบายให้สมาคมธนาคารไทยเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิต โดยสมาคมธนาคารไทยได้จัดตั้งทีมทำงานในรูปคณะกรรมการเพื่อสานภารกิจต่อไป การดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเครดิตจึงได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่จัดตั้งโดย ธอส. ได้จัดตั้ง บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด ขึ้น ส่วนฝ่ายธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ได้จัดตั้ง บริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด ขึ้น โดยทั้งสองบริษัทก็ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลลูกค้า เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพของการให้สินเชื่อ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียในระบบเศรษฐกิจ หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

บริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยฝ่ายของธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 26 ล้านบาท โดยธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่งที่เป็นสมาชิกสมาคมธนาคารไทยเป็นผู้ถือหุ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ได้ให้บริการข้อมูลเครดิตทั้งด้านข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดา และข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้สถาบันการเงินต่างๆ ได้ใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์สินเชื่อ ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด และ ได้ลงทุนพัฒนาระบบรายงานข้อมูลเครดิต 2 ระบบ ได้แก่ 1) ระบบรายงานข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดา (Consumer Credit Reporting System) พัฒนาโดย บริษัท Trans Union International หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการข้อมูลเครดิตของโลก และ 2) ระบบรายงานข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Credit Reporting System) พัฒนาโดย บริษัท Dun & Bradstreet บริษัทผู้ให้บริการข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเช่นกัน บริษัทผู้พัฒนาระบบทั้งสองบริษัทนับว่าเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการพัฒนาระบบ และเพิ่มศักยภาพด้านบริการข้อมูลเครดิตของบริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด ทั้งนี้ เพื่อให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น เป็นความร่วมมือระยะยาวและมีความต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2543 บริษัท ระบบข้อมูลกลาง จำกัด ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับทั้ง บริษัท Trans Union International และ บริษัท Dun & Bradstreet (ผ่านบริษัทร่วมทุนในประเทศไทยชื่อ บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน)) และได้เพิ่มทุน เป็น 156 ล้านบาทและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2543 โดยยังคงมีธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 13 แห่งถือหุ้นจำนวนเท่าๆ กัน ในอัตราส่วน 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% บริษัท TransUnion Inc. และบริษัท Business Online จำกัด ถือหุ้นรายละ 25% ซึ่งต่อมาได้เพิ่มทุนอีกเป็น 186 ล้านบาทในอัตราส่วนผู้ถือหุ้นที่เท่าเดิม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 บริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ได้รวมกิจการกับบริษัทข้อมูลเครดิตอีกแห่งหนึ่ง คือ บริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตกลาง จำกัด ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 250 ล้านบาท และได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2548 ซึ่งมีผู้ถือหุ้นของบริษัท ข้อมูลเครดิตไทย จำกัด และธนาคารรวมทั้งสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาถือหุ้นในบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นหลังการรวมกิจการ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ไทยถือหุ้นในอัตราส่วนเท่าๆ กันรวมเป็น 24.50% และบริษัท Business Online จำกัด (มหาชน) บริษัท TransUnion Inc. ถือหุ้นรายละ 12.25% รวมเป็น 24.50% รวมเป็นผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทข้อมูลเครดิตกลางเดิมถือหุ้นเท่ากับ 49% และผู้ถือหุ้นกลุ่มบริษัทข้อมูลเครดิตไทยถือหุ้น 30% ได้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 15% และบริษัท พีซีซี แคปปิตอล จำกัด 15% ส่วนที่เหลืออีก 21% ถือหุ้นโดยสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ถือหุ้นในอัตราส่วน 9% 6% และ 6% ตามลำดับ

หลังจากการรวมกิจการเป็นต้นมา บริษัทได้พัฒนาระบบการประมวลผลและการรายงานผลข้อมูลเครดิตให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังได้พัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของข้อมูลให้มีความถูกต้องและทันสมัย โดยเพิ่มศักยภาพทางด้านการรักษาความปลอดภัยสารสนเทศให้ดียิ่งขึ้น โดยบริษัทได้กำหนดเป้าหมายที่จะทำการขอใบรับรองเกี่ยวกับระบบบริหารการจัดการความปลอดภัยด้านสารสนเทศ (Information Security Management System – ISMS) ตามมาตราฐานของ ISO 27001 ภายในปี 2550 นอกจากนั้น บริษัทได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเครดิต ตลอดจนบทบาทของบริษัทข้อมูลเครดิตให้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้ยึดถือหลักการในการปกป้องและรักษาความลับของข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนคำนึงถือการดูแลและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

คณะกรรมการบริษัทฯ

|

คณะกรรมการบริษัทฯ

นายกมลภพ วีระพละ รองประธานกรรมการ
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ กรรมการ
นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการ
นางสาวสุธีรา ศรีไพบูลย์ กรรมการ
นายฮอย วิง วิงโก้ หว่อง กรรมการ
นายมินทร์ อิงค์ธเนศ กรรมการ
นายจเร เจียรธนะกานนท์ กรรมการ
นายจงรัก รัตนเพียร กรรมการ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการอิสระ
ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการอิสระ
พลตำรวจเอกเจตน์ มงคลหัตถี ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท
นายธีระ อภัยวงศ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท
นายสิริยศ ศรีสุขสวัสดิ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท
นายทวีศักดิ์ ฟุ้งเกียรติเจริญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท

ฝ่ายบริหาร

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้อำนวยการใหญ่

จรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต

|

  • บริษัทฯ จะให้บริการข้อมูลเครดิตด้วยความซื่อสัตย์ ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของผู้ขอสินเชื่อและผู้ให้สินเชื่อ
  • บริษัทฯ จะดำเนินการให้มีความปลอดภัยสูงสุดในกระบวนการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลในฐานข้อมูลเครดิตของบริษัทฯ
  • บริษัทฯ จะให้บริการข้อมูลเครดิต เฉพาะแก่สมาชิก ผู้ใช้บริการ หรือเจ้าของข้อมูล ที่บริษัทฯ เห็นว่าเป็นผู้มีความจำเป็นโดยสุจริตตามกฎหมาย ในการใช้ข้อมูลเครดิตนั้น
  • บริษัทฯ จะให้คำปรึกษาแก่ผู้บริโภคที่มีข้อหารือเกี่ยวกับข้อมูลของตนที่บริษัทฯ ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลเครดิตของบริษัทฯ
  • บริษัทฯ จะส่งเสริมให้มีการใช้ข้อมูลเครดิตเพื่อให้มีการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้บริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ โดยผ่านความร่วมมือกับองค์กรต่างๆที่เหมาะสม

นโยบายในการกำกับดูแลกิจการ

|

คณะกรรมการบริษัทฯ มีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้บริษัทฯ เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารจัดการที่ดีเลิศ โดยดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ และเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจต่อผู้มีส่วนได้เสีย

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายการกำกับดูแลกิจการ โดยครอบคลุมหลักการสำคัญ ดังต่อไปนี้

1. สิทธิของผู้ถือหุ้น และสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย

บริษัทตระหนักถึงสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ที่จะให้แต่ละกลุ่มได้รับสิทธินั้นอย่างเต็มที่บนหลักการของความเป็นธรรม โดยการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายและระเบียบต่างๆ รวมทั้งนโยบายที่เกี่ยวข้อง และจะดูแลให้มั่นใจว่าสิทธิดังกล่าวได้รับการคุ้มครอง และปฏิบัติด้วยดี ดังนี้

ผู้ถือหุ้น : บริษัทมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานให้มีผลประกอบการที่ดี โดยมีกำไรที่เหมาะสม พร้อมทั้งรักษาความเป็นองค์กรหลักในการให้บริการข้อมูลเครดิตที่มีคุณภาพ เพื่อความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน

พนักงาน : บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต เพื่อให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพและสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งจัดให้พนักงานมีสวัสดิการที่เหมาะสมตามสถานภาพของบริษัท

เจ้าของข้อมูล : บริษัทมุ่งมั่นที่จะคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามกฎหมาย และมีส่วนช่วยในการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน รวมทั้งการให้ความรู้ในการใช้ข้อมูลเครดิตให้เกิดประโยชน์ทางการเงินแก่เจ้าของข้อมูล

สมาชิก: บริษัทมุ่งมั่นที่จะให้บริการข้อมูลเครดิตที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กฎหมายกำหนด

ผู้กำกับดูแลตามกฎหมาย: บริษัทมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้กำกับดูแลตามกฎหมาย ในการสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบสถาบันการเงิน และการส่งเสริมให้เจ้าของข้อมูลมีวินัยทางการเงินตามเป้าหมายที่กฎหมายกำหนด

สังคม : บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการดำเนินงานบนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อสังคม สนับสนุนช่วยเหลือ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามความเหมาะสมและขีดความสามารถที่บริษัทมีอยู่

2. ความโปร่งใสในการดำเนินงาน และการเก็บรักษาความลับส่วนบุคคล

บริษัทจะดำเนินการด้วยความความโปร่งใส โดยเปิดเผย ชัดเจน สามารถอธิบาย และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการรักษาความลับส่วนบุคคล ดังนี้

2.1.บริษัทถือว่าข้อมูลเครดิตของเจ้าของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลใดๆ ที่บริษัทได้รับจากสมาชิกจะถือเป็นความลับ พึงได้รับการปกป้องคุ้มครองและจัดเก็บในระบบข้อมูลเครดิตอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล

2.2.บริษัทจะมีส่วนในการสนับสนุนการให้สินเชื่อ โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันแก่สถาบันการเงินเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าของข้อมูลได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและบริการอื่นๆ ของสถาบันการเงินอย่างเท่าเทียมกัน

2.3.บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลเครดิตของเจ้าของข้อมูลได้เฉพาะกรณีที่ได้มีการปฏิบัติครบถ้วนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น เว้นแต่จะเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

3. โครงสร้าง บทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบ และความเป็นอิสระ ของคณะกรรมการ

บริษัทตระหนักถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริษัทในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้เสีย

3.1.คณะกรรมการบริษัทประกอบด้วยผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้นมาเป็นผู้กำกับแนวทางดำเนินการของบริษัท

3.2.กรรมการมีหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของบริษัท และกำกับควบคุมดูแล ให้ฝ่ายจัดการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบสถาบันการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการเพิ่มมูลค่าให้แก่กิจการและผู้มีส่วนได้เสีย

3.3.คณะกรรมการกำหนดให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ และตามความจำเป็นโดยมีการกำหนดวาระการประชุมไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งปี

3.4.คณะกรรมการจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรง และระมัดระวัง โดยในการประชุมคณะกรรมการบริษัท กรรมการสามารถอภิปราย ซักถาม และแสดงความคิดเห็นตลอดจนใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจได้อย่างอิสระ เว้นแต่เป็นเรื่องที่เป็นประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์

3.5.คณะกรรมการบริษัทมีหน้าที่ในการเปิดเผยสารสนเทศ ทั้งที่เป็นสารสนเทศทางการเงินและที่ไม่ใช่ทางการเงินอย่างเพียงพอ เชื่อถือได้ และทันเวลา ตามที่กำหนดโดยกฎหมาย ข้อบังคับของบริษัท และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง

3.6.คณะกรรมการบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดให้มีการทำรายงานทางการเงินของบริษัทให้ถูกต้อง ตรงต่อความเป็นจริง เชื่อถือได้และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป

3.7.คณะกรรมการบริษัทจะจัดให้มีคณะกรรมการชุดย่อยต่างๆ เพื่อช่วยกลั่นกรองงาน ศึกษาในรายละเอียด ติดตามหรือกำกับดูแลในเรื่องสำคัญตามที่คณะกรรมการบริษัทมอบหมาย โดย ให้มีองค์ประกอบ บทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และความจำเป็นของบริษัท เช่น คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เป็นต้น

4.การควบคุมภายในและบริหารความเสี่ยง

บริษัทจะดำเนินการให้มีระบบการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้บริษัทมีการกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ประกาศระเบียบ และกฎเกณฑ์ของทางการ และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

5.การมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

บริษัทตระหนักถึงบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และพร้อมให้ความร่วมมือ สนับสนุน ช่วยเหลือสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมตามกำลังความสามารถ

6.จรรยาบรรณและจริยธรรมของกรรมการ

กรรมการของบริษัทจะปฏิบัติหน้าที่ โดยมีจรรยาบรรณและจริยธรรม โดยมีหลักการที่สำคัญ ดังนี้

6.1.กรรมการจะยึดมั่นในหลักการของความซื่อสัตย์ สุจริต และยุติธรรม โดยเฉพาะต่อผู้มีส่วนได้เสียและเจ้าของข้อมูลไว้เป็นประการสำคัญ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

6.2.กรรมการจะดำเนินการให้มีความปลอดภัยสูงสุดในกระบวนการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลในฐานข้อมูลเครดิต

6.3.กรรมการจะดำเนินการป้องกัน หรือหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งทางผลประโยชน์

6.4.กรรมการจะปฏิบัติตนเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพที่มีความรู้ ความชำนาญ และความระมัดระวังรอบคอบ

6.5.กรรมการจะดำเนินการให้มีโครงการ หรือแนวทางในการต่อต้านการทุจริต การคอร์รัปชั่น รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมและปลูกฝังให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

7. จรรยาบรรณและจริยธรรมของผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง

ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างทุกคนมีแนวทางในการประพฤติหน้าที่ โดยมีจรรยาบรรณและจริยธรรม ในเรื่องต่างๆ ดังนี้

7.1. ข้อพึงปฎิบัติในเรื่องส่วนตัวที่อาจกระทบกระเทือนถึงบริษัท

7.1.1.การวางตัว : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงรักษาไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งตนให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่เป็นการกระทบกระเทือนหรือเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของบริษัท หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีที่วิญญูชนพึงจะปฏิบัติ

7.1.2.การใช้สิทธิทางการเมือง : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงใช้สิทธิทางการเมืองตามบทบัญญัติแห่งกฏหมายและหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่าบริษัทมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆ

7.1.3.การก่อหนี้ : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงละเว้นการก่อหนี้ที่เกินกำลังความสามารถ

7.2.การมีวินัย : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงประพฤติปฎิบัติตามนโยบาย ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง ที่บริษัทกำหนด มีความเคร่งครัดในเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในระบบข้อมูลสารสนเทศ

7.3.การรักษาทรัพย์สินของบริษัท : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงถนอมรักษาไว้ซึ่งทรัพย์สินทั้งปวงของบริษัท รวมถึงบรรดาสิทธิทุกชนิดทุกประเภท ตลอดจนความรู้ เทคนิค วิชาการ ข้อมูลและความลับทั้งปวง พึงใช้ทรัพย์สินทั้งปวงเพื่อประโยชน์แก่บริษัทอย่างเต็มที่และไม่นำเอาทรัพย์สินของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือบุคคลอื่นโดยมิชอบ

7.4.การรักษาข้อมูลความลับและการไม่แสวงหาประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง ต้องไม่อาศัยหน้าที่การงานหรือการได้รับข้อมูลความลับจากการปฏิบัติหน้าที่ทั้งของบริษัท ของเจ้าของข้อมูล ของสมาชิก เพื่อแสวงหาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เว้นแต่จะเป็นการเปิดเผยตามเงื่อนไขของกฏหมาย

7.5.การปฎิบัติตนในฐานะตัวแทนบริษัท : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนบริษัทเพื่อการใด พึงหลีกเลี่ยงการรับผลประโยชน์อื่น นอกเหนือจากเบี้ยประชุมและบำเหน็จต่างๆที่ได้รับตามระเบียบ ข้อบังคับของกิจการหรือจากการนั้น และต้องพิจารณาถึงความสมเหตุผล และความเหมาะสม หรือความเป็นสัดส่วนจากการรับผลประโยชน์ที่ว่านั้นตามควรแก่กรณี

7.6.การอุทิศตน และอุทิศเวลา : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงอุทิศตนและอุทิศเวลา ทุ่มเทการปฎิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ

7.7.การปฏิบัติหน้าที่และการมีจิตใจในการให้บริการ : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงปฎิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตใจ ชอบด้วยเหตุผล มีประสิทธิภาพ และพึงให้บริการแก่เจ้าของข้อมูล สมาชิกและผู้ทำธุรกิจกับบริษัทอย่างถูกต้องและเป็นธรรม

7.8.การวางตัวและการรักษาความสัมพันธ์ต่อเจ้าของข้อมูล สมาชิกและผู้ทำธุรกิจกับบริษัท

7.8.1การไม่เรียกรับผลประโยชน์ตอบแทน การรับสินจ้าง การรับของขวัญ : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงระมัดระวัง และพิจารณาอย่างรอบคอบ ครบถ้วนว่าการได้รับผลประโยชน์ตอบแทน การรับสินจ้าง การรับของขวัญ นั้นสมกับเหตุผล และเป็นปกติวิสัยหรือไม่ มีความชอบธรรมที่ควรรับหรือไม่ เพียงใด โดยยึดหลักการพิจารณาเยี่ยงวิญญูชนผู้ประกอบวิชาชีพ

7.8.2.การเกี่ยวข้องทางการเงินหรือทรัพย์สิน : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างต้องไม่ยุ่งเกี่ยวในทางการเงินหรือทรัพย์สินของเจ้าของข้อมูล สมาชิกและผู้ทำธุรกิจกับบริษัทอย่างเด็ดขาด เว้นแต่จะเป็นการทำธุรกรรมตามปกติ

7.9.การปฏิบัติตนต่อผู้บังคับบัญชา : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงเชื่อฟังและปฎิบัติตามคำสั่งโดยชอบของผู้บังคับบัญชา มีทัศนคติที่ดีต่อผู้บังคับบัญชาและปรับตนเองให้ทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาได้

7.10.การปฏิบัติตนต่อผู้ใต้บังคับบัญชา : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงรับฟัง เหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริง จากผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างรอบด้าน ให้คำแนะนำ ในทางอันเป็นประโยชน์ทั้งต่อการทำงานและการปฎิบัติตนของผู้ใต้บังคับบัญชา ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีการพัฒนาตามศักยภาพอย่างเต็มที่

7.11.การปฏิบัติตนต่อพนักงานด้วยกัน : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงสร้างเสริมและรักษาบรรยากาศแห่งความสามัคคี ความเข้าใจและความมีน้ำใจซึ่งกันและกัน

7.12.แนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดปัญหา : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างพึงระลึกเสมอว่า จรรยาบรรณที่กำหนดไว้นี้ ไม่สามารถครอบคลุมถึงทุกเรื่อง ทุกกรณีที่จะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นในทางปฏิบัติหากเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยในประเด็นใดให้ทุกฝ่ายปรึกษาผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาหรือหาแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมต่อไป

7.13.การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น : ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง พึงจัดให้มีและดำเนินการตาม โครงการ หรือแนวทางในการต่อต้านการทุจริต การคอร์รัปชั่น รวมถึงกิจกรรมที่ส่งเสริมและปลูกฝังให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

นโยบายการกำกับดูแลกิจการฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2557 เป็นต้นไป โดยการอนุมัติของคณะกรรมการบริษัท ในการประชุมครั้งที่ 6/2557 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557

นายกุลิศ สมบัติศิริ
ประธานกรรมการบริษัท

นโยบายป้องกันความลับส่วนบุคคล

|

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มุ่งมั่นที่จะปกป้องคุ้มครองข้อมูลเครดิตของผู้บริโภคและนิติบุคคล ซึ่งบริษัทได้รับจากสมาชิกและเก็บไว้ในระบบข้อมูลของเรา

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้ให้สินเชื่อและลุกค้าสินเชื่อ ช่วยให้ผู้ให้สินเชื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าสินเชื่อเพียงพอที่จะพิจารณาการให้สินเชื่อ ในทางกลับกัน สิ่งนี้ช่วยใหู้ลูกค้าสินเชื่อทุกรายได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและบริการอื่นๆ ของสถาบันผู้ให้สินเชื่ออย่างเท่าเทียมกัน

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ถือว่าข้อมูลเครดิตของลูกค้าสินเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลใดๆ ที่เราได้รับจากสมาชิกจะถือเป็นความลับ

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด จะเปิดเผยข้อมูลเครดิตของลูกค้าสินเชื่อ เฉพาะที่ได้ให้ความยินยอมต่อสมาชิกตามกฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อเท่านั้น และบริษัทจะไม่เปิดเผยข้อมูลเครดิตของลูกค้าสินเชื่อต่อบุคคลที่สามใดๆ เว้นแต่จะเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

กฎบัตรคณะกรรมการตรวจสอบ

|

1.วัตถุประสงค์

เพื่อกำหนด อำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบ ในการกำกับดูแลและตรวจสอบการบริหารงาน การควบคุมภายในและการกำกับดูแลกิจการที่ดี รวมทั้งการจัดทำรายงานทางการเงิน ให้เป็นไปตามนโยบายบัญชีและกฎระเบียบอย่างมีระบบและต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดและเป็นไปตามนโยบายการตรวจสอบ และกำกับดูแลกิจการที่ดี

2.องค์ประกอบ

คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ของบริษัทมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

2.1.มีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการไม่น้อยกว่า 2 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท

2.2.คณะกรรมการตรวจสอบอาจแต่งตั้งให้พนักงานบริษัท คนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบก็ได้

2.3.คณะกรรมการตรวจสอบ อาจแต่งตั้งให้พนักงานบริษัทหรือบุคคลภายนอกเป็นที่ปรึกษาได้ 1 คน

3.คุณสมบัติ

กรรมการตรวจสอบ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

3.1.ต้องเป็นกรรมการของบริษัท

3.2.สามารถปฏิบัติหน้าที่และแสดงความเห็นหรือรายงานผลการปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการของบริษัทได้โดยอิสระและเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องของบุคคลดังกล่าว

3.3.เป็นผู้ที่สามารถอุทิศเวลาและความคิดเห็นอย่างเพียงพอในการปฏิบัติงานในฐานะกรรมการตรวจสอบ

3.4.มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท มีความเข้าใจหลักการบริหารที่ดี สามารถวิเคราะห์ปัญหา มีวิจารณญาณและทักษะในการตัดสินใจที่ดี

3.5.คณะกรรมการตรวจสอบ อย่างน้อย 1 คน ต้องมีความรู้ความเข้าใจหรือมีประสบการณ์เพียงพอที่จะสามารถสอบทานความน่าเชื่อถือของรายงานทางการเงินได้ และมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงโดยรวม

4.วาระการดำรงตำแหน่ง

4.1.การดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการตรวจสอบ ให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี และเมื่อพ้นตำแหน่งแล้วอาจได้รับการแต่งตั้งได้อีก

4.2.กรณีมีความประสงค์จะลาออกก่อนครบวาระ ควรแจ้งต่อคณะกรรมการบริษัทล่วงหน้า 1 เดือน พร้อมเหตุผล เพื่อให้คณะกรรมการบริษัท ได้พิจารณาแต่งตั้งบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทดแทน

4.3.กรรมการตรวจสอบจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อพ้นจากการเป็นกรรมการบริษัท ครบวาระ ลาออก หรือคณะกรรมการบริษัทมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง หรือขาดคุณสมบัติในการปฏิบัติงานในฐานะกรรมการตรวจสอบตามที่กฏหมายกำหนด

4.4.ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการตรวจสอบ ว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากการออกตามวาระ ให้คณะกรรมการบริษัท แต่งตั้งกรรมการอื่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นกรรมการตรวจสอบแทนตำแหน่งที่ว่างลงให้ครบถ้วนภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่มีจำนวนกรรมการตรวจสอบไม่ครบ

5.อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบ

คณะกรรมการตรวจสอบมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบดังนี้

5.1.สอบทานรายงานทางการเงินของบริษัท ให้ ครบถ้วนถูกต้องตามควร และน่าเชื่อถือ

5.2.ทบทวนการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีของบริษัท พิจารณาคัดเลือก เสนอแต่งตั้งและเสนอค่าตอบแทนผู้สอบบัญชีต่อคณะกรรมการบริษัทฯ

5.3.กำหนดและทบทวนกฎบัตรคณะกรรมการตรวจสอบ และกฎบัตรการตรวจสอบภายใน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติ

5.4.พิจารณาและอนุมัติแผนการตรวจสอบภายใน นโยบาย วิธีการ และกระบวนการตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดทำและเปิดเผยคะแนนเครดิต คู่มือการปฏิบัติงานฝ่ายตรวจสอบภายใน งบประมาณและบุคลากรของฝ่ายตรวจสอบภายใน

5.5.ให้การสนับสนุนและดูแลความเป็นอิสระของฝ่ายตรวจสอบภายใน

5.6.พิจารณาและให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้ง ถอดถอน โยกย้าย เปลี่ยนตำแหน่ง หรือการเลิกจ้าง หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบภายใน และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติ

5.7.พิจารณาและอนุมัติในการรับ และการประเมินผลการปฏิบัติงาน ของพนักงานหรือลูกจ้างของฝ่ายตรวจสอบภายใน

5.8.ดูแลการจัดให้มีผู้ตรวจสอบภายนอกด้านสารสนเทศ หรือที่ปรึกษาจากภายนอก เพื่อช่วยในการปฏิบัติงานตรวจสอบ หรือให้คำแนะนำ ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการบริษัท

5.9.ดูแลให้บริษัทมีระบบการควบคุมภายใน (Internal Control) และกระบวนการตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ที่เพียงพอ เหมาะสม และมีประสิทธิผล

5.10.พิจารณาและติดตามผลการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงของผู้สอบบัญชี และผู้ตรวจสอบภายใน ดูแลให้มีการปรับปรุงแก้ไขตามที่ผู้ตรวจสอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ตรวจสอบอิสระทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้ตรวจสอบภายในให้ความเห็น ข้อแนะนำ และข้อสังเกต

5.11.ดูแลให้บริษัทฯปฏิบัติตามข้อกำหนดของทางการและกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท

5.12.จัดทำรายงานประจำปี ของคณะกรรมการตรวจสอบ ลงนามโดยประธานกรรมการตรวจสอบ และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท

5.13.สามารถเชิญฝ่ายจัดการ หัวหน้าหน่วยงาน หรือพนักงานบริษัท ฯ ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ให้ข้อมูล หรือให้ความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบ หรือขอให้จัดส่งข้อมูล เอกสารที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควร

5.14.หากพบหรือมีข้อสงสัยว่ามีรายการหรือการกระทำดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงิน และ ผลการดำเนินงานของบริษัท ให้คณะกรรมการตรวจสอบรายงานต่อคณะกรรมการบริษัท เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขภายในเวลาที่คณะกรรมการตรวจสอบเห็นสมควร

(1) รายการที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

(2) การทุจริต หรือมีสิ่งผิดปกติหรือมีความบกพร่องที่สำคัญในระบบการควบคุมภายใน

(3) การฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท

5.15.ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่คณะกรรมการบริษัท มอบหมาย

6.การประชุม

6.1.คณะกรรมการตรวจสอบ จะต้องจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยไตรมาสละหนึ่งครั้ง

6.2.ต้องมีกรรมการเข้าร่วมในการประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะครบเป็นองค์ประชุม

6.3.มติที่ประชุมจะกระทำโดยได้รับเสียงข้างมากของกรรมการที่มาประชุมครบองค์ประชุม ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานกรรมกา รตรวจสอบเป็นผู้ชี้ขาด

6.4.ในระหว่างการสรรหากรรมการตรวจสอบทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ให้กรรมการตรวจสอบฯ ที่เหลืออยู่จำนวนอย่างน้อย 2 คน สามารถดำเนินการประชุมและปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของคณะกรรมการตรวจสอบได้ คณะกรรมการตรวจสอบ สามารถเชิญผู้เกี่ยวข้องได้แก่ กรรมการบริษัท ผู้บริหาร หรือพนักงาน ของบริษัท และ/ หรือบริษัทในกลุ่ม ผู้สอบบัญชี ให้เข้าร่วมประชุม หารือ ชี้แจง หรือตอบข้อซักถามได้

7.การรายงาน

7.1.ให้คณะกรรมการตรวจสอบ รายงานผลการประชุมและ/หรือการปฏิบัติหน้าที่ต่อคณะกรรมการบริษัท อย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง

7.2.ในการจัดทำรายงานประจำปีของคณะกรรมการตรวจสอบควรระบุถึงเจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ ความรับผิดชอบ และภารกิจหรือกิจกรรมของคณะกรรมการตรวจสอบที่ได้ดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมา ให้คำแนะนำเพื่อการปรับปรุงต่อคณะกรรมการบริษัทฯ รวมทั้งการแสดงความเห็นต่อระบบควบคุมภายในและรายงานทางการเงิน

8.โครงสร้างองค์กร


คณะกรรมการตรวจสอบได้เห็นชอบกับร่างแก้ไขกฎบัตรคณะกรรมการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 และให้การแก้ไขกฎบัตรฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2559 โดยการอนุมัติของคณะกรรมการบริษัท ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 21มีนาคม 2559

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
ประธานกรรมการบริษัท

เรื่องน่าอ่าน