Blog Page 149

ใช้เงินให้เป็นในแบบเจนวาย

คนเจนวายนั้นมีเอกลักษณ์และความเป็นตัวตนสูงมาก ไม่ชอบทำอะไรในกรอบ มีความคิดเป็นของตัวเอง รักอิสระ และชอบเทคโนโลยี ซึ่งช่วงวัยในปัจจุบันคนกลุ่มนี้คืออยู่ในช่วงวัยทำงานและวัยเรียน ส่วนไลฟ์สไตล์แบบ คนเจนวายจึงถูกมองว่าเป็นวัยที่จ่ายตามใจตัวเอง มักมีปัญหาหนี้สินที่เกิดจากความต้องการ แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่ทำให้คนเจนวายมีการแสดงออกทางสังคมแบบนี้มาจากการที่เกิดมาในครอบครัวที่มีความพร้อม คนกลุ่มนี้จึงถูกมองว่าเป็นพวกวัตถุนิยม เพราะนิสัยและค่านิยมของคนกลุ่มนี้จะไม่กลัวที่จะจ่ายเงิน กล้าใช้เงินซื้อความสุข ความพอใจ อยู่ยุคอินเทอร์เน็ต ที่มีข้อมูลข่าวสารพร้อม ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง มีกำลังซื้อสูง และจะเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของโลกในอีก 20 ปีข้างหน้า ลักษณะชองคนเจนวายสามารถทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน โดยร้อยละ 80 ใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต 2 ชนิด หรือมากกว่านั้นพร้อม ๆ กัน ในเวลาเดียวกับที่กำลังดูทีวี เป็นต้น ลองดูเพิ่มเติมใน แนวทางบริหารเงินแบบชิคๆ สไตล์หนุ่มสาว Gen Y https://www.ncb.co.th/fin-knowledge/money-management-style-gen-y

เพิ่มช่องทางรายได้สไตล์คนเจนวาย

เมื่อคนเจนวายใช้เงินเก่ง ก็ควรที่จะหาเงินเก่งด้วยเช่นกัน และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ทำให้คนเจนวายมีโอกาสในการหารายได้เสริมได้ง่ายขึ้น และนี่เป็นไอเดียในการหารายได้เสริมในแบบฉบับชาวเจนวาย

  • ขายของออนไลน์ สำหรับคนเจนวายที่มีหัวคิดการค้าและชอบการค้าขายผ่านช่องทาง Social เช่น Facebook , Instragram เป็นต้น น่าจะสนุกกับการขายสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องสต็อกสินค้า
  • Freelance รับเขียนบทความ หรือใครเป็นคนครีเอทมีความคิดสร้างสรรค์ ทำกราฟิกได้ เป็นต้น สำหรับคนเจนวายถนัดเขียน หรือชอบอ่านชอบออกแบบดีไซน์ รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคำต่อบทความราคา หรือประเภทการออกแบบ เป็นต้น เป็นอาชีพที่น่าสนใจ มีอิสระ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เหมาะกับไลฟ์สไตล์เจนวาย หรือถ้ามีงานประจำอยู่แล้วก็ยึดเป็นอาชีพเสริมได้
  • ถ่ายภาพขายออนไลน์ สำหรับคนเจนวายที่ชอบเล่นโทรศัพท์ ชอบถ่ายรูปสวยๆ สร้างพอร์ตภาพออนไลน์ขาย รายได้ต่อดาวน์โหลด ขึ้นอยู่กับการให้ราคาของผู้ซื้อออนไลน์รายนั้น ๆ
  • รับหิ้วของ สำหรับคนเจนวายที่รักการชอปปิ้งและท่องเที่ยวก็หารายได้เสริมเป็นค่าขนมได้ ราคารับหิ้วสินค้าขึ้นอยู่กับขนาดของและการจัดส่ง
  • ทำเพจรีวิว สำหรับคนเจนวายที่รักสินค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ และมีความเชี่ยวชาญจนคนอื่นให้ความเชื่อถือ เช่น รีวิวภาพยนตร์ , รีวิวอาหาร, รีวิวท่องเที่ยว, รีวิวเครื่องสำอาง เป็นต้น รายได้จะมาจากค่าโฆษณาสินค้าหรือร้านค้าที่นำมาลงในเพจนั้นเอง

ลงทุน…ออมเงิน เพิ่มรายได้ในแบบเจนวาย

สำหรับการออมเงินนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าคนเจนวายควรออมเงินมากน้อยแค่ไหนต่อเดือน วิธีที่ง่ายที่สุด คือ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือน เช่น 10% ถึง 15% ของรายได้ทุกเดือน เป็นต้น ยิ่งฐานเงินเดือนเพิ่ม เปอร์เซ็นต์เงินออมจึงควรเพิ่มตามไปด้วย  แม้คนเจนวายจะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ทำได้ยาก ดังนั้น “ระบบตัดเงินอัตโนมัติ” คือคำตอบ ทันทีที่มีเงินเดือนเข้า มันจะถูกตัดไป บัญชีเพื่อการลงทุน หรือบัญชีเงินออม ก่อนเสมอ Gen Y ที่มีรายได้สูง มีแนวโน้มออมเงินในรูปแบบเงินฝากลดลง และสนใจลงทุนในกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น

จัดการการเงินที่เหมาะสมในแบบคนเจนวาย

  1. ควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างสมาร์ท ด้วยการทำบันทึกรายรับรายจ่ายบนสมาร์ทโฟน โดย แอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อทำให้เรารู้สถานะทางการเงินของตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา
  2. วางแผนในการเคลียร์หนี้สินให้หมดสิ้นตั้งแต่วันที่เงินเดือนออก ทั้งค่าที่พัก ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่างวดรถ หนี้บัตรเครดิต
  3. เมื่อจ่ายหนี้สินต่าง ๆ หมดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือแบ่งเงินออม เพื่อที่จะสามารถนำเงินที่เหลือไปใช้จ่ายอื่นๆ ได้ ทางที่ดีถ้าสามารถวางแผนการออมเงินได้ จะเป็นแรงจูงใจอย่างดี เรียกง่ายๆ ว่าการตั้งเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายก็ต้องมีการวางแผนการใช้เงินที่ชัดเจนขึ้น การออมส่วนใหญ่ที่แนะนำ เช่น การลงทุนหุ้น ตราสารต่าง ๆ การออมเงินสด การเข้าโครงการออมเพื่อวัยเกษียณ เป็นต้น ที่สำคัญคืออย่าเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียวเพราะดอกเบี้ยนั้นไม่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อ แต่ควรนำเงินส่วนหนึ่งไปทำให้งอกเงยผ่านการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้นบ้าง เพื่อเพิ่มผลตอบแทนได้เร็วขึ้น
  4. การวางแผนภาษี เพราะต้องเสียภาษีทุกคน ดังนั้นการวางแผนทางการเงินจะทำให้เรารู้ว่าการลงทุนใดสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้บ้าง เช่น ความรู้ในการซื้อ LTF/RMF และประกันชีวิต ที่สามารถนำมาหักลดหย่อนเพิ่มเติมได้

เรื่องของการเงินเป็นเรื่องที่ต้องวางแผน ถึงแม้จะอยู่ในวัยเจนวาย แต่ก็ต้องเตรียมการเผื่อวันข้างหน้า และวัยเกษียณด้วย การจัดการการเงินและการออมจึงเป็นเรื่องสำคัญ คิดใส่ใจเรื่องเงินในตอนนี้รบรองว่าชีวิตดีแน่นอน

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : การทำงาน ธปท. ต้องเร็วและกว้างขึ้น : วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

การทำงาน ธปท. ต้องเร็วและกว้างขึ้น

นสพ.โพสต์ทูเดย์  วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2561

“การทำงานของ ธปท.ใน 1 ปีข้างหน้าต้องเร็วและกว้างขึ้น เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะปกติและสภาพคล่องลดลง และเรื่องสงครามการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก รวมถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ต้องติดตามความ ต่อเนื่องของโครงการลงทุน เพราะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย”
          

คำกล่าวของท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี ได้แสดงให้เห็นถึงภาพของความท้าทายและความไม่แน่นอนในหลายสิ่ง เช่น การเมืองระหว่างประเทศจะมีผลมายังระบบเศรษฐกิจไทย การเมืองภายในประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป
          

แม้แต่เรื่องของสภาวะอากาศและสภาพแวดล้อมอาจจะมีผลกระทบกับเกษตรกรที่มีจำนวน 5.76 ล้านครัวเรือน มีสมาชิก 15.65 ล้านคน ถือครองที่ดิน 12.80 ล้านแปลง สิ่งสำคัญมากๆ คือ เกือบ 40% ของครัวเรือนเกษตรกรไทยมีรายได้ต่อหัวต่อปีต่ำกว่าเส้นความยากจนของประเทศ คือ รายได้ไม่ถึง 3.2 หมื่นบาท/ปี  หากเกษตรกรยังไม่ลืมตาอ้าปากได้ ตราบนั้นความมั่นคงยั่งยืนก็ยากที่จะเกิดในระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองได้
          

ท่านผู้ว่าการ ธปท.ได้เผยต่อไปอีกว่าในแผนยุทธศาสตร์ระยะ 3 ปี ธนาคารกลางทำได้แล้ว 65% ประกอบด้วย
          

(1) ระบบการชำระเงิน ซึ่งทำได้เร็วกว่าแผน ทั้งการลดค่าธรรมเนียม การชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ของภาคประชาชนแต่ในส่วนของภาคธุรกิจยังเดินค่อนข้างช้ากว่าแผน
          

(2) ด้านฐานข้อมูล (Data Analytic)ทำได้ดีและเร็วกว่าที่คาดไว้ ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้และต่อยอดออกมาตรการ เช่น เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน หรือมาตรการควบคุมอสังหาริมทรัพย์
          

(3) เสถียรภาพระบบการเงิน ความเชื่อมโยงทั้งกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องสร้างความร่วมมือเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลาม
          

(4) ที่ยังไม่ได้ผลและต้องเร่งมือ คือ การเข้าถึงบริการทางการเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
          

เรื่องของการอนุญาตให้นำ Information Base Lending มาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อได้ โดยเฉพาะลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็กๆ หรือ SSME ที่เริ่มนำมาใช้มากขึ้น
          

เรื่องสุดท้ายที่สำคัญมากๆ ก็คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่ยังเป็นความเสี่ยงของระบบ เพราะมีเงินฝากราว 15-20% ของทั้งระบบ ขณะนี้กฎหมายการส่งเสริมและการกำกับดูแลได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว
          

ผู้เขียนขอเป็นแรงใจและขอให้กำลังใจทุกท่านที่กำหนดนโยบายสำหรับความท้าทายในปี 2562  แน่นอนว่า…มันคงไม่ง่าย แต่เชื่อได้ว่ามันจะถูกจัดการได้อย่างเหมาะสมบนความรู้ ความสามารถ และความมุ่งหมายที่จะให้ประเทศของเรา เศรษฐกิจเรามั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนนะครับ

วางแผนการช้อปแบบคูลๆ ในช่วงปลายปี

ใกล้สิ้นปีอย่างนี้ ก็ต้องมีภาษีสังคมที่จะต้องเสีย ถึงจะมีโบนัส แต่เมื่อช้อปให้รางวัลชีวิตกับตัวเองบ้าง เลี้ยงฉลองแจกของขวัญไปบ้าง เผลออีกทีโบนัสหมดเกลี้ยงเลย แบบนี้จะเหลืออะไรบ้างนี่ ดังนั้นเราควรวางแผนการใช้เงินให้ดีๆ เพื่อที่ปลายปีนี้จะได้ฉลองเข้าสู่ปีใหม่ได้สุดฟิน

เลือกของขวัญให้โดนใจ

  1. ของขวัญควรเป็นของที่คนรับชอบ คนทุกคนในโลกนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีความชอบและไม่ชอบที่ไม่เหมือนกัน ลองลิสต์รายการสิ่งของที่เขาชอบดูแล้วเลือกว่าจะซื้ออะไร
  2. ซื้อของขวัญที่น่าประทับใจ ถ้าของขวัญนั้นน่าประทับใจและน่าจดจำ หรือเป็นของขวัญที่มีความหมายกับผู้รับ ผู้รับนั้นก็จะจดจำของขวัญและทะนุถนอมของขวัญชิ้นนั้นไปอีกนาน
  3. ควรอธิบายเหตุผลที่ซื้อของขวัญชิ้นนั้นมาให้ เมื่อคุณตกลงจะซื้อของขวัญให้ใครสักชิ้นหนึ่ง ตอนที่คุณยื่นของขวัญให้ผู้รับคุณควรจะอธิบายด้วยว่า ที่ซื้อของชิ้นนี้มาให้เพราะอะไร
  4. ของขวัญไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง เลือกของขวัญที่คุณภาพการใช้งานเป็นหลัก หรือคุณอาจจะทำขึ้นมาเองก็ได้ ซึ่งของแฮนด์เมดนั้นมักจะมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า
  5. สังเกตดูว่าคนคนนั้นพูดว่าอยากได้อะไร คอยสังเกตดูขณะสนทนากัน ว่าคนที่คุณจะซื้อของขวัญให้นั้น พูดเปรยหรือแสดงอาการว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษในช่วงนั้นหรือไม่

เทคนิคช้อปปิ้งให้มีเงินเหลือเก็บออมไปพร้อมกัน

  1. เทคนิคแรก อย่าช้อปตอนต้นเดือน เก็บเงินก่อน แบ่งค่าใช้จ่ายก่อน แล้วค่อยช้อปช่วงกลางเดือน หรือก่อนสิ้นเดือน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคนช้อป ร้านค้ามักจะลดราคาในช่วงนั้นเพื่อดึงดูดลูกค้า
  2. ฝึกวินัยในตัวเอง วางแผนไว้ว่าจะช้อปอะไรบ้าง อย่างละกี่ชิ้น ต้องให้ของขวัญกี่คน ลิสต์มาว่ามีจำนวนเท่าไหร่  ซื้อของขวัญเผื่อแลกเปลี่ยน และเล่นจับฉลากอีกเท่าไหร่ วางแผนแค่ไหนก็ซื้อแค่นั้น ต้องเคร่งครัด มีวินัย ทำตามแผนที่เราวางไว้
  3. รอช้อปปิ้งตอนลดราคา บางช่วงห้างสรรพสินค้าลดราคา 20-70% รับรองว่าประหยัดชัวร์ แต่อาจต้องอาศัยความเร็วหน่อยนะ เพราะของดีคนก็หมายตา ยิ่งช่วงเทศกาลแบบนี้ มีกิจกรรมลด แลก แจก แถมกันรัวๆ
  4. ใช้เงินสด การช้อปปิ้งไม่ควรใช้บัตรเครดิต ถึงมีก็ไม่ควรใช้ เพราะจะใช้เพลินจนไม่รู้ลิมิตของตัวเอง แนะนำให้ใช้เงินสดที่มีในกระเป๋า เพราะเราจะรู้ทันทีว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือไม่ ดังนั้น แนะนำให้ทิ้งบัตรเครดิตไว้ที่บ้านแล้วพกแต่เงินสดไปช้อปปิ้งดีกว่า แต่ควรวางแผนการช้อปปิ้งก่อนออกจากบ้านเสมอว่าวันนี้จะช้อปอะไรบ้าง มีอะไรที่จำเป็นต้องซื้อบ้าง และให้ซื้อของจำเป็นใช้ก่อน จากนั้นจึงค่อยซื้อของที่อยากได้ หรือของอื่นๆ
  5. อย่าไปเพราะเพื่อนชวน ข้อนี้สำคัญ บางทีเพื่อนชวนเพราะเพื่อนกำลังอยากช้อป ถ้าเราไปทุกครั้งที่เพื่อนชวน รับรองช้อปตามเพื่อนทุกครั้งแน่นอน โดยปกติคนไทยไม่ค่อยกล้าปฎิเสธ เพื่อนลุ้น เพื่อนเชียร์ให้ซื้อ ขัดไม่ได้เพราะเกรงใจเพื่อนเลยต้องซื้อทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น
  6. ห้ามกดเงินสดจากบัตรเครดิต เดี๋ยวนี้บัตรเครดิตหลายๆ เจ้า มีการอนุมัติบัตรกดเงินสดให้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งหลายๆ คนที่อยากทำบัตรเครดิต อาจลืมมองความเป็นจริงในส่วนอื่น และอยากได้บัตรกดเงินสดนี้มาใช้กัน แต่ข้อห้ามในการใช้บัตรเครดิตที่ควรจะนึกไว้เสมอ คือไม่ควรกดเงินสดจากบัตรเครดิตออกมาใช้เป็นอันขาด เพราะการกดเงินสดจากบัตรเครดิตนั้น คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารในอัตราที่สูง และที่สำคัญก็คือค่าธรรมเนียม 3% ที่เรียกเก็บจากการกดเงินออกมาให้ในแต่ละครั้ง นั่นหมานความว่ายอดหนี้ของคุณจะเพิ่มมากกว่าจำนวนเงินที่กดจริง และถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงทีเดียว

ในความเป็นจริงแล้ว การช้อปปิ้งในช่วงเทศกาล เป็นการใช้จ่ายที่สามารถวางแผนได้ เพราะเราจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง ดังนั้นถ้าไม่อยากช้อปจนเงินหมดก็ต้องใช้เงินอย่างมีการวางแผน และมีสติ เพื่อที่จะได้มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้แถมได้ของครบครันด้วย

ลองอ่าน สายเปย์ไม่โอเค… ควบคุมการใช้จ่าย ก่อนหมดตัวนะคะซิส! แล้วจะรู้ว่ามีเงินเหลือใช้ให้เหลือเก็บมันจำเป็น

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : ตัวอย่างทุกข์ของคนที่คิดจะมีบ้านเวลานี้ : วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

ตัวอย่างทุกข์ของคนที่คิดจะมีบ้านเวลานี้

นสพ.โพสต์ทูเดย์ : วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561

 

บทความวันนี้จะขอยกเอาสิ่งที่มีคนถามข้อมูล เพื่อให้ผู้คนโลกโซเชียลช่วยตอบ และเมื่อท่าน ผู้อ่านได้เห็นคำถามและคำตอบ ท่านลองคิดต่อว่าเราๆ ท่านๆ เห็นอะไร

คำถาม : สวัสดีครับ สมาชิกทุกท่าน รบกวนสอบถามเกี่ยวกับการซื้อบ้านเนื่องจากจะซื้อบ้าน แต่มีความกลัวจะกู้ไม่ผ่าน

1.เคยติดเครดิตบูโรมานานมาก เพราะไปทำบัตรให้ญาติ จนตอนนี้จะซื้อบ้าน เลยตั้งใจปิดบัญชี (สิ้นเดือน ธ.ค. 2561)
วิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยผู้เขียน(1) ให้คนอื่นก่อหนี้ในชื่อตนด้วยความ สมัครใจบนพื้นฐานความเชื่อใจเพราะเป็นญาติ

(2) หากเมื่อทราบว่าญาติคนนั้นไม่ไปชำระหนี้แต่หนี้นั้นเป็นชื่อตนตนจะเป็นคนเสียหายในประวัติ เหตุใดจึงไม่ชำระหนี้ไปก่อนแล้วไปติดตามเอากับญาติหรือแจ้งให้ญาติมาชำระหรือปิดบัตรปิดบัญชีไม่ให้ก่อหนี้ลุกลาม จากนั้นตัวเองในฐานะคนรับบาปเคราะห์ก็ไปเจรจาชำระหนี้กับเจ้าหนี้

เพราะการไปออกบัตรให้ญาติบัตรจะเป็นชื่อเราถึงแม้จะเป็นบัตรเสริมหนี้ก้อนนั้นก็เป็นของเรา เจ้าหนี้จะมาทวงที่เราเสมอ เพราะฉะนั้นท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งสับสนนะครับว่า พอเราไปออกบัตรให้คนอื่นในเครดิตของเรา แล้วเราไม่ควรรับผิดชอบ เจ้าหนี้เขาไม่มีทางรู้ว่าเราวางแผนคิดกันอย่างไรตอนยื่นขอบัตร  เรากับเขาทำสัญญา หรือไม่ ด้วยตนเองใช่ไหม สัญญานั้นมันระบุว่า เป็นหนี้ต้องใช้หนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญา เราเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไม่ แล้วตัวเราจะจั่วหัวว่าหนี้นั้นเราไม่ได้ก่อด้วยเหตุแห่งความสงสารไม่ได้นะครับ  ข้อเท็จจริงคือตัวเราอนุญาตให้บุคคลอื่นบนความเชื่อใจมาใช้เครดิตของเราไปก่อหนี้ในนามของเรา

สังคมของเรามักจะเริ่มต้นอธิบายเหตุที่มาของปัญหาเรื่องหนี้สินบนความคิดความเห็น ต้องกลับไปที่ความเป็นจริงที่เจ็บปวดในเวลานั้น ผู้เขียนขอให้ข้อคิดว่าหากญาติคนนั้นเขาสามารถออกบัตรได้เองแล้วแสดงว่าเขาผ่านการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ เหตุใดเขาจึง ไม่ทำหรือทำแล้วมันไม่ผ่านหากตัวเราทราบข้อเท็จจริงแล้วว่าญาติคนนั้นมีเครดิตไม่ถึง ทำไมเราจึงมีข้อมูลที่ดีกว่าในการกล้า (ผู้เขียนใช้คำว่ากล้านะครับ)  ที่จะพิจารณาเอาตนเองเข้าไปแบก ความเสี่ยงแทน มันจึงมาที่บทสรุปว่า ตัวเรามีเหตุและผลใช้เหตุและผลไหมในการตัดสินใจ

(3) คำว่าติดเครดิตบูโร น่าจะหมายถึงว่ามีการค้างชำระเกิดขึ้นแต่ไม่มีการจัดการชำระให้เสร็จสิ้น ดังนั้น อย่าไปเลี่ยงใช้คำว่าติดเครดิตบูโรเลยครับ คำตอบตรงๆ ที่ชัดเจนคือ ค้างชำระหนี้ คำคำนี้เป็นคำที่เป็นความจริงที่เจ็บปวด คนพูดจะมีทั้งความกลัวความอายแต่มันคือความจริง ถ้าเรายังไม่รับความจริง เราก็จะไม่คิดเต็มร้อยที่จะแก้ปัญหา ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับว่า มีหนี้ค้างชำระก็ต้องชำระก่อนครับเมื่อชำระหนี้นั้นแล้ว ยอดหนี้จะเป็นศูนย์  ประวัติที่ระบุว่าเดือนนั้นที่ค้างชำระก็จะอยู่ในระบบ 3 ปี พ้นจาก 3 ปีไปแล้วข้อมูลนั้นก็จะหายไป แต่ถ้าตัวเราไม่ไปชำระหนี้ก้อนนั้น เดือนต่อๆ มามันก็จะแสดงรายการว่าค้างชำระอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันแม้ว่าเดือนในอดีตที่ระบุว่าค้างชำระจะพ้น 3 ปี และถูกเอาออกไปแล้ว  แต่เดือนใหม่ที่ระบุว่าค้างชำระก็ยังมีการรายงานเข้ามาโดยตลอดภาษาชาวบ้านคือ ข้อมูลค้างชำระเดือนใหม่ไหลเข้า ข้อมูลค้างชำระเดือนเก่าไหลออก ใหม่เข้าเก่าออกข้อมูลเดือนปัจจุบันก็ยังคงแสดงอยู่

สมมติปีปัจจุบันคือปีที่ 10 ข้อมูลเครดิต บูโรจะแสดงผลความจริงในปีที่ 10 ปีที่  9 และ ปีที่ 8 ย้อนหลัง ถ้าเราค้างชำระในปีที่ 5 แล้วจนบัดนี้ยังไม่ชำระ ข้อมูลค้างชำระจะไหลเข้าไหลออกอย่างที่ผู้เขียนได้เรียนไว้ตั้งแต่ปีที่5จนถึงปีที่ 10 จนถึงปัจจุบันสิ่งที่ปรากฏคือยอดหนี้ที่ค้างชำระในจุดเริ่มต้นเมื่อปีที่ 5 แต่ในรายงานจะถูกแสดงแค่ย้อนหลัง 3 ปี มันจึงระบุข้อมูลใน วันนี้คือปีที่  10 ปีที่ 9 และปีที่ 8 เพราะว่ามันคือความจริงว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันยังไม่มีการชำระหนี้

2.เพิ่งเปลี่ยนที่ทำงานได้แค่ 3 เดือน มี ผลกระทบต่อการกู้ไหม หรือต้องรอให้ผ่านโปร และรอให้ครบ 6 เดือนก่อนค่อยยื่นกู้
—-อันนี้แล้วแต่เงื่อนไขผู้ให้กู้—-

3.ปัจจุบันไม่มีภาระอะไร รับเงินเดือนประมาณ 3.5 หมื่นบาท/เดือน  จะสามารถกู้ได้ประมาณเท่าไรครับ (บ้านที่ไปดูมาประมาณ 2.9 ล้านครับ)
—-ปรึกษาเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินได้ เลยครับ  เขาจะมีตารางข้อมูลช่วยการคำนวณอยู่แล้ว—

ท้ายสุด ผู้คนที่อยู่ในแวดวงการเงิน การส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องทางการเงินคงต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า เหตุใดคนเขาไปถามความเห็นจากโลกที่เขาไม่รู้จักตัวตน คนให้ คำตอบ ตอบถูกตอบผิดหรือไม่ ทำไมเราๆ ท่านๆ ที่เปิดเผยพร้อมให้คำตอบเขาจึงไม่มาหา เขาไม่เชื่อใจไม่เชื่อมั่นตรงไหนเราตอบคำถามได้ไม่ถูกต้อง-ไม่ถูกใจตรงไหนกัน ทั้งนี้ เพื่อเอามาปรับปรุงบริการครับ

หยุดให้บริการตรวจเครดิตบูโร (ชั่วคราว) วันที่ 29-31 ธันวาคม 2561 และวันที่ 1 มกราคม 2562 เนื่องในวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่

หยุดให้บริการตรวจเครดิตบูโร (ชั่วคราว)

วันที่ 29-31 ธันวาคม 2561 และวันที่ 1 มกราคม 2562

เนื่องในวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่

ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : มองมุมต่างกันในประเด็น หนี้ครัวเรือนไทย : วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

มองมุมต่างกันในประเด็น หนี้ครัวเรือนไทย

นสพ.โพสต์ทูเดย์ : วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้ให้ข้อมูลว่าหนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 2 ปี 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 12.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% เทียบกับปีก่อน และได้ลดระดับลงมาเป็น 77.5% ต่อ จีดีพี จากที่เคยสูงสุด 80.8% ต่อ จีดีพี เมื่อปี 2558 ในข่าวยังมีข้อมูลเพิ่มว่า สัดส่วน 73% เป็นการกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น กู้ซื้อที่ดิน ที่อยู่อาศัย รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และอสังหาริมทรัพย์อื่น ถือว่าเป็นการก่อหนี้ให้เกิดสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต  สภาพัฒน์มองว่ายังไม่น่าเป็นกังวล
          

ในฟากฝั่งของผู้คนที่ออกมาพูด ที่เน้นความเป็นห่วงมาก เพราะมีข้อมูลจากการสำรวจว่า ครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ย 3 แสนกว่าบาท 60-70% เป็นหนี้ในระบบ ส่วนที่เหลือเป็นหนี้นอกระบบตัวอย่างเช่น มีรายได้ 3 หมื่นบาท/เดือน แต่มีภาระหนี้ที่ต้องชำระทุกเดือนประมาณ 1.5 หมื่นบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ หากวัดจากจุดนี้ก็ถือได้ว่าครอบครัวนี้  ครัวเรือนนี้มีภาระการจ่ายหนี้เต็มเพดานความสามารถในการชำระหนี้
          

ในมุมมองผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองฟากฝั่งต่างก็มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจดังนี้
          

1.ข้อมูลระดับ Macro มองได้ว่าปัญหายังไม่ได้ร้ายแรง เช่น อดีต ดีขึ้น แต่ก็ต้องติดตามใกล้ชิด และมีข้อห่วงใยในความกู้ง่ายจากฟินเทค  เพราะท่านก็เข้าใจนิสัยคนไทยที่ก่อหนี้เก่งปัญหาเรื่องนี้จะหมุนวนมาหลอกหลอนกันอีกในอนาคต
          

2.ข้อมูลระดับ Micro จากการสำรวจบอกว่า บางกลุ่ม บางระดับรายได้ โดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท/เดือน มีความสามารถชำระหนี้ค่อนข้างตึงตัวหากเผลอก่อหนี้เพิ่ม จะนำพาชีวิตกลับไปจมบ่อหนี้อีก
          

3.มุมมองของผู้เขียน  ขอเสนอให้ท่านผู้อ่านคิดและลองพิจารณา  เห็นด้วย เห็นต่าง ก็ไม่ว่ากันครับ
          (3.1) หนี้ครัวเรือน 12 ล้านล้านบาท ยังคงเป็นปัญหากับระบบเศรษฐกิจไทยและหนี้ครัวเรือนนี้ยังมีการเติบโตในระดับพอสมควร
          (3.2)  ขีดความสามารถในการชำระหนี้ แม้ภาพใหญ่จะพอไปได้ แต่บางกลุ่มถือว่าวิกฤตและเสี่ยงกลายเป็นหนี้มีปัญหา
          (3.3)  หากเรามีข้อมูลหนี้แล้ว ถ้าเรามีข้อมูลรายได้เพิ่มเติม จะเห็นภาพคมชัดกว่านี้  จึงมีสิ่งที่เรียกว่า อัตราวัดความสามารถในการชำระหนี้ (Debt service ratio) หรือภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt to income ratio) เพื่อติดตาม วิเคราะห์หนี้สินภาคครัวเรือนไทยได้อย่างสมบูรณ์  ทำให้เกิดความมั่นใจว่า ครัวเรือนไทยจะไม่กลับไปจมบ่อหนี้ ตะกายบ่อหนี้อีกต่อไปอย่างสมบูรณ์
          

ข้อคิดจากเรื่องนี้ คือ การรับข้อมูลข่าวสารมาไม่ว่าจากแหล่งใด จำเป็นต้องแยกแยะ วิเคราะห์ และอย่าเชื่อไปตามคำกล่าวที่บอกต่อๆ กันมา
          

ยิ่งเวลานี้มนุษย์การเมืองกำลังออกมาเป็นผู้สื่อสารข้อมูล ต่อสังคม  หากสติไม่มั่นคง ท่านผู้อ่านจะเป็นเหยื่อของความหลอกลวงได้ครับ

ข่าวประชาสัมพันธ์ : ‘ยูโอบี’สวนกระแสแบงก์เพิ่มสาขารุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ : นสพ.ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 13 ธันวาคม 2561

ข่าวประชาสัมพันธ์ :

‘ยูโอบี’สวนกระแสแบงก์เพิ่มสาขารุกกลุ่มไลฟ์สไตล์

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 13 ธันวาคม 2561

 

ยูโอบีลุยปรับโฉมสาขาใหม่ เน้นเจาะตามไลฟ์สไตล์ จับกลุ่มคนรวย เจ้าของธุรกิจ คนรุ่นใหม่ ชี้ วางแผนปี 64 มีสาขา 170 แห่งจากสิ้นปี 62 อยู่ที่ 158 แห่ง สวนทางระบบแบงก์ หวังช่วยสร้างรายได้โต 3-4 เท่าของจีดีพี หรือ 12-15%

นายเจมส์ รามา ปัทมินทร วิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เครือข่ายสาขาและบริการดิจิทัล ธนาคารยูโอบี(ไทย)เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางดิจิตอลมากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขการทำธุรกรรมผ่านสาขาธนาคารทั้งระบบลดลง 27% ซึ่งยูโอบีเองใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยทั้งระบบ

อย่างไรก็ตาม จากผลวิจัยพบว่า ลูกค้ากลุ่มครอบครัวและเจ้าของธุรกิจยังคงใช้บริการสาขาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน เพื่อขอคำปรึกษาทางการเงินเช่นเดียวกับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ แม้ว่าจะทำธุรกรรมบนช่องทางดิจิตอลมากขึ้น แต่ยังต้องการขอคำปรึกษาทางการเงิน ดังนั้นเพื่อปรับตัวรับกระแสดิจิตอล จึงปรับกลยุทธ์สาขาใหม่

โดยวางแผนโรดแมปปี 2560-2564 ซึ่งปีนั้นจะมี 170 สาขาจากสิ้นปี 2562 มี 158 สาขา เฉลี่ยเปิดและปิดรวมกัน 16 สาขา และจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ ทั้งกลุ่มครอบครัว เจ้าของกิจการ และคนรุ่นใหม่หรือสตาร์ตอัพ และบางพื้นที่หากมีผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) มาก ก็จะมีพื้นที่ Business Coner หรือลูกค้ารายย่อยที่ต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลจะมีสาขา UOB Express ซึ่งจะร่วมกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลเครดิตเพื่อขอสินเชื่อได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง
         

จ่าย และที่เหลือ 30% จะเป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาทางการเงิน (Advisory) มาเป็น 70% ให้คำปรึกษา และ 30% ให้บริการธุรกรรมทั่วไป เฉลี่ยมีพนักงาน 6-8 คนต่อสาขา โดยจะมีพนักงานที่มีใบอนุญาต (ไลเซนส์) เฉลี่ย 3 คนต่อสาขา จากปัจจุบันมีพนักงานที่มีไลเซนส์ 1,200 คน เพียงพอกับสาขาและฐานลูกค้าที่มีอยู่กว่า 2 ล้านคน โดยจะเป็นลูกค้าที่มีเงินฝากและสินทรัพย์ (AUM) กับธนาคารประมาณ 1 แสนราย และลูกค้าเอสเอ็มอี 5 หมื่นราย อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าจะเพิ่มพนักงานที่มีไลเซนส์เพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ราย

ทั้งนี้ จากการปรับรูปแบบสาขาและเจาะฐานลูกค้าเซ็กเมนต์มากขึ้น คาดว่าจะส่งผลสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% ดังนั้นจึงตั้งเป้าเติบโตในแง่รายได้และกำไรรวมที่ 3-4 เท่าของจีดีพี โดยคาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) อยู่ที่ 3% หรือคิดเป็นการเติบโต 12-15% จากช่วงครึ่งปีแรกธนาคารที่มีรายได้เติบโต 27% หรือมีกำไรสุทธิมากกว่าทั้งระบบธนาคารถึง 3 เท่า โดยเงินฝากเติบโต 6.3% จากระบบเติบโต 1.8% และสินเชื่อเติบโต 3.6% จากระบบเติบโต 2.7% ส่วนการลงทุนขยายตัว 8.2%

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! งาน “Thailand Smart Money 2018” กรุงเทพฯ วันที่ 14-16 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00 – 19.00 น. Sky hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! งาน “Thailand Smart Money 2018” กรุงเทพฯ
วันที่ 14-16 ธันวาคม 2561 เวลา 10.00 – 19.00 น.
Sky hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว (บูธ K2 ติดกับบูธ EXIM และ KTC)
ฟรี!!…บริการตรวจเครดิตบูโร แต่ขอรับเป็นเงินบริจาคแทน พร้อมเปิดคลินิกเครดิตบูโรให้คำปรึกษา

 

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : Digital Lending จะเห็นชัดเจนในปี 2562 : วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

Digital Lending จะเห็นชัดเจนในปี 2562

นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561

บทความในวันนี้ซึ่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายปลายปี 2561 เราๆ ท่านๆ จะเห็นว่าทิศทาง ในเทคโนโลยีใหม่ในปี 2562 ของเหล่าสถาบันการเงินที่เปิดเผย ออกมานั้น จะเน้นลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการต่อยอดหรือช่วยให้การปล่อยสินเชื่อหรือชำระเงินได้สะดวกและง่ายขึ้นโดยมีเรื่อง Digital Lending และ Payment เป็นหลัก

ในเรื่องของ Digital Lending จะพบว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อบนออนไลน์มากขึ้น บนแนวคิด พื้นฐาน Information Base Lending ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสนับสนุน ยิ่งถ้าหากตัวของ Platform และข้อกฎหมายของ National Digital ID รองรับอย่างสมบูรณ์แล้วละก็จะยิ่งทำให้การปล่อยสินเชื่อผ่านดิจิทัลหรือออนไลน์สะดวกและง่ายมากขึ้น

กระบวนการในภาพใหญ่ๆ ของการให้กู้แบบดิจิทัลจะเป็นดังนี้นะครับ1.ลูกค้าเป้าหมายจะถูกส่งข้อมูลให้เกิดความสนใจในบริการผ่านกระบวนการสื่อสารที่ตรงใจ ใช่เลย คือรู้เรื่องของเรา รู้จริงว่าเราต้องการอะไรและรู้ใจว่าเราอยากได้แบบไหน

2.การส่งข้อมูลของผู้ขอกู้จะทำผ่านช่องทางดิจิทัล  ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่  หรือเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา อีกต่อไป

3.เอกสาร รูปภาพ ข้อมูล จะถูกกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่าไม่มีการปลอมแปลงใดๆ อันนี้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากๆ เรื่องของเอกสารแบบกระดาษลืมไปได้เลย

4.กระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่ชาวแบงก์เรียกว่า KYC จะใช้เทคนิคหลากหลาย ด้วยลายพิมพ์นิ้วมือ  ด้วยใบหน้า ด้วยรหัสผ่าน ตามแนวคิดของการพิสูจน์ ความถูกต้องว่า “You are who you say you are”  เทคโนโลยีจากจีนต่างหลั่งไหลเข้ามาในประเทศเรานะครับ

5.กระบวนการต่อมาคือ การให้ความยินยอมหรือ Consent เพื่อให้แน่ใจว่าการเข้าถึงข้อมูลความเป็นส่วนตัวมีการปกป้องคุ้มครอง ดังนั้นคนยื่นขอกู้จึงถูกกำหนดว่าต้องให้ความยินยอมในเรื่องหนึ่ง… สอง… สาม…

6.การลงลายมือชื่อแบบดิจิทัล เมื่อมาถึงขั้นนี้การเซ็นชื่อในเอกสารต่างๆ  มันไม่มีการเซ็นสดอีกต่อไปแล้ว  การลงนามโดยรหัสหกตัวบ้าง หรือวิธีการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดก็จะเข้ามาในขั้นตอนนี้ เพื่อรับรองยืนยันเอกสารของคนขอกู้ว่าใช่

7.กระบวนการวิเคราะห์สินเชื่อด้วยข้อมูลจากหลากหลายแห่ง ทั้งของตัวผู้ยื่นขอกู้ และข้อมูลอื่นๆ จากเครดิตบูโร จากแหล่งที่คนขอกู้ได้ให้ Consent ไว้เช่น Platform E-commerce ที่ตนเองเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เป็นต้น

8.การตัดสินใจและการแจ้งผลจะเป็นระบบที่ประมวลผลโดยเครื่องมือที่ทันสมัยมีการเรียนรู้ด้วยตนเองปราศจากอคติและมีการใช้อารมณ์ของคนน้อยมากๆ เมื่อได้ผลเป็นประการใดแล้วก็อาจมีการสกรีนอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าไม่หลุดไปปฏิเสธคนที่ควรจะได้ แต่ดันไปรับหรืออนุมัติคนที่ไม่ควรจะได้ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้คือใช้ข้อมูลเป็นอาหาร  ข้อมูลเป็นเชื้อเพลิง  ข้อมูลเป็นวัตถุดิบข้อมูลเป็นอากาศในระบบนิเวศแบบใหม่ครับผม

แต่ในไทยสถาบันการเงินคงจะมุ่งกลุ่มที่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงินหรือ Unbank จึงต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ดีมากๆ เพราะขั้นตอนบางอย่างยังไม่ได้เป็นดิจิทัลทั้งหมด เช่น สัญญาตอนสุดท้ายอาจ ยังคงเป็นกระดาษ ซึ่งคงจะไม่คุ้มกับอัตราดอกเบี้ยที่ทางการจะประกาศควบคุมไว้และปัญหาประการสุดท้ายคือกิจการที่จะให้บริการต้องมีทุน จดทะเบียนเบื้องต้นหลายล้านบาทแน่นอน ส่วนการเป็นสมาชิกของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ  (เครดิตบูโร) ก็ต้องว่าไปตามความสมัครใจครับ

เรื่องน่าอ่าน