นิสัยติดชอปเป็นสาเหตุที่ใครหลายคนไม่มีเงินเก็บ เก็บเงินไม่ได้ เก็บเงินไม่อยู่ เห็นของลดราคาก็อยากได้ ยิ่งชอปออนไลน์ยิ่งเสียเงินง่ายสุด ๆ นิสัยนี้ถ้าไม่รีบแก้จะกลายเป็นปัญหาในอนาคต ฉะนั้นเริ่มวันนี้ก็ยังไม่สาย เปลี่ยนจากนิสัยชอป ให้เป็นชอบเก็บเงินกันดีกว่านะคะ
5 ขั้นออมเงินแบบขั้นบันได Step up ไปให้งอกเงย
กำลังเก็บเงินแต่..ยังได้เท่าเดิมไม่มีเพิ่มขึ้น มีแต่ลดลงเพราะต้องนำไปใช้จ่ายกับเรื่องที่ไม่คาดคิด หรืออาจจะเสียไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
ลองมาดูการออมเงินแบบขั้นบันไดกันดีกว่าค่ะ ว่าทำอย่างไรให้งอกเงย สามารถทำตามได้ไม่ยากเพียง 5 ขั้น
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “ทำไมคนให้กู้สองฝั่งมองโอกาสและอุปสรรคต่างกันในตลาดสินเชื่อ” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
ทำไมคนให้กู้สองฝั่งมองโอกาสและอุปสรรคต่างกันในตลาดสินเชื่อ
บทความผมวันนี้มาจากการอ่านข่าวสารที่ออกมาของผู้บริหารสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมคือธนาคารพาณิชย์กับมุมมองของผู้บริหารกิจการร่วมทุนลูกผสมระหว่าง Technology company หรือ Tech Fin ที่ก้าวเข้ามาร่วมทุนกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่
มันเป็นจริงเสมอเมื่อเราอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน เศรษฐกิจโตชะลอตัวลง สงครามการค้าไม่จบ เทคโนโลยีดีขึ้นแต่ราคาถูกลง ผู้คนต่างวัยต่างความคิด ขัดแย้งกันแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การใช้ชีวิต รูปแบบการทำงาน เราจึงพบคนสองแบบเสมอในการประชุม
คนที่หนึ่ง เห็นปัญหาในทุกทางออก
คนที่สอง เห็นทางออกในทุกปัญหา
คนที่สาม คือคนที่บอกว่าเกิดอะไรในระบบเศรษฐกิจ อธิบายอดีตเก่งแต่ไม่บอกอนาคตว่าน่าจะไปยังไงต่อ
คนที่สี่คือคนที่ต้องมาตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร จะเดินกันอย่างไร
เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 2562 พบว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะลูกหนี้ SME ส่งผลให้สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์เติบโตลดลงต่อเนื่องจาก 4.2% ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ระดับ 3.8% ในเวลาเดียวกันคุณภาพสินเชื่อของระบบพาณิชย์ในภาพรวม ยังมีสัดส่วนหนี้เสียหรือ NPL ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 2.95% เป็น 3.01% โดยมียอดคงค้าง NPL ที่ 4.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อน สาเหตุมาจากลูกหนี้รายใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อ SME
ฝั่งผู้บริหารสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่ทำธุรกิจปล่อยกู้รายย่อย SME ต่างก็กังวลว่าปีหน้า กู้ซื้อบ้านจะผ่านอนุมัติยาก เหตุเศรษฐกิจชะลอ ถูกหั่น ค่าล่วงเวลา(OT)กระทบรายได้ของผู้ยื่นขอกู้ หลังเห็นสัญญาณรายรับของแรงงานไม่ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในไตรมาส 4 ปีนี้ตลาดสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังไม่ฟื้น เหตุเร่งโอนก่อนมีมาตรการ LTV และพบว่ายอดปฏิเสธการให้สินเชื่อพุ่ง 40% บางท่านให้ข้อมูลว่า ภาพรวมสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสิ้นปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราติดลบ 10-15% สาเหตุหลักๆ มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวบวกกับมาตรการ LTV และยังเห็นสัญญาณกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เคยได้รับค่าล่วงเวลา (OT) เริ่มไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของกลุ่มนี้ลดลง ขณะเดียวกันคาดว่า ในปีหน้าหลายธนาคารจะไม่นำรายได้จาก OT มาคิดรวมเป็นรายได้ของผู้กู้ ดังนั้นจะทำให้ผู้ยื่นขอสินเชื่อมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น ธนาคารจะเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพราะเมื่อเศรษฐกิจชะลอและเห็นสัญญาณความสามารถในการผ่อนชำระต่ำ เพราะรายได้คนกู้น้อยลง ก็ต้องมองบนความเป็นจริงหากฝืนไปก็เจ็บตัว ส่วนหนี้เสีย NPL เห็นสัญญาณจากทุกอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประเด็นของทุกธนาคารต้องระมัดระวังเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว
หันกลับมาในมุมของผู้บริหารกิจการร่วมทุนระหว่าง Tech Fin กับแบงก์พบว่าเขามีความมุ่งมั่นจะเอาบริการที่คิดค้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้า ต่อยอดจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าผู้ใช้บริการสื่อสารบน App อยู่แล้วกว่า 44 ล้านคน บวกกับฐานลูกค้าของธนาคารอีกเกือบ 17 ล้านคนแล้ว เขามองเห็นโอกาสในกลุ่มคนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underbanked) อีกประมาณ 45% ซึ่งเป็นคนที่มีบัญชีกั
(มันมีคำถามตลอดว่าระบบดั้งเดิมทำไมมองไม่เห็น มันเป็นเพราะอะไร)
จะมีการสร้างการให้บริการทั้งด้านสุขภาพทางการเงินหรือตอบสนองผู้ใช้ App ให้มีวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคล การประกันภัยและการลงทุน ซึ่งเป็นโจทย์ในระยะยาว โดยนำเอาฐานข้อมูล (Data) ที่มีอยู่แล้วเริ่มจากการประเมินพฤติกรรมลูกค้าบุคคล พฤติกรรมลูกค้าผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วนำข้อมูลมาพัฒนาบริการที่ง่ายให้เข้าถึงลูกค้าด้วยความศรัทธาและปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการในขั้นตอนประเมินความเสี่ยงและประเมินรายได้ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (ซึ่งมันก็รวมถึงกลุ่มที่สถาบันการเงินรูปแบบเก่ามองว่าอาจจะเสี่ยงในปีหน้า) โดยวงเงินกู้และดอกเบี้ยจะเป็นไปตามความเสี่ยงของตัวลูกค้าที่สะท้อนในข้อมูลนั่นเองแต่ก็คิดได้ไม่เกิน 28% ต่อปี
“เรากำลังเตรียมสร้างทีมงานและพัฒนาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์บริการ ซึ่งเวลานี้อาศัยทีมงานจากเครือข่ายที่มาช่วย จากนั้นกลางปี 2563 จะเริ่มให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Lending) ซึ่งช่วงปีแรกหวังว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจเป็นหลักล้าน (ย้ำอีกทีว่าหลักล้านคน)”
ท่านผู้อ่านลองคิดตามนะครับ ว่าใครจะอยู่ ใครจะรอด ในปีหน้าอันไม่ไกลนี้รดิตบูโรได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป
4 วิธี จะใช้บัตรเครดิตยังไง? ให้ไม่เป็นหนี้
ใครที่เป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มใช้บัตรเครดิต ขอบอกเลยนะคะว่าต้องรอบคอบมาก ๆ จริงอยู่ที่มีบัตรเครดิตแล้วสะดวกสบายขึ้น แต่จะบริหารจัดการอย่างไรให้ลื่นไหล จ่ายไหว ไม่เป็นปัญหา วางแผนให้ใช้เป็น แถมยังประหยัดได้อีกด้วยค่ะ
เปิด 5 นิสัยใช้จ่าย ที่ทำนายอนาคต
อยากมีอนาคตแบบไหน? พฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบันก็สามารถทำนายความมั่นคงทางการเงินของเราได้นะคะ มาดูกันว่าตอนนี้คุณมีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบไหน?
สิ่งที่สำคัญคือ อย่าลืมสร้างวินัยทางการเงิน รู้จักอดออม วางแผนการใช้เงินค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศคง. 1213
ใช้เป็น เก็บเป็น รู้จักลงทุน: ใช้ 50 ลงทุน 25 ออม 25 >> มั่งคั่ง มั่งมี ชีวิตดีเหลือเกิน
ใช้แบบพอดี เก็บแบบพอใจ: ใช้ 80 ออม 20 >> อยู่ดี กินดี พอมีความสุข
ใช้เยอะเก็บน้อย: ใช้ 90 ออม 10 >> พออยู่ พอกิน พอใช้
ได้เท่าไหร่ก็ใช้หมด: ใช้ 100 เต็มจำนวน >> ไม่เหลือ ไม่มี ไม่มั่นคง
(เริ่มวางแผนการใช้จ่ายให้ดี)
มือเติบ เกินควร :ใช้เกิน 100 และหยิบยืม >> เป็นทุกข์ หนี้มา ปัญหาเกิด
(ควรรีบหาทางแก้ไขก่อนสายไป)
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “เมื่อพายุสามลูกมารวมกันและพัดผ่านระบบเศรษฐกิจของเรา” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
เมื่อพายุสามลูกมารวมกันและพัดผ่านระบบเศรษฐกิจของเรา
บทความวันนี้เกิดจากการที่ได้ไปรับรู้รับฟังมาจากนักวิชาการที่ทำงานติดดิน เดินทางทำวิจัย สอบถามผู้คน ไม่ใช่แบบ (1) นั่งอยู่ในรั้วในวังแล้วคิดเอาจากข้อมูลที่ไปบังคับให้คนเขาส่งมาให้ หรือแบบประเภท (2) เอามือถูไถไปบนโทรศัพท์มือถือ หยิบเอารายงานที่นั่นหน่อย ที่นี่หน่อยมาผสมผสานกันแล้วก็ยกร่างขึ้นมาใหม่ แล้วอ้างว่ามันไม่ต้องท่องไปในโลกความจริงหรอก เอาข้อมูลจากโลกเสมือนจริงมาเขียนก็ได้ หรืออีกแบบ (3) ประเภทหนึ่งที่ผมต้องขอบอกว่ารังเกียจมากคือพวกอุปทานตัวเองเป็น ผู้นำเครือข่าย กรรมการสมาพันธ์ แล้วก็ต่อด้วยภาษาที่ใครก็ไม่เข้าใจ เช่น สุขภาวะวิถี-ชีวียั่งยืน-ฟื้นฟูนิเวศ-เศรษฐกิจพิชิตมาร อะไรประมาณนี้ จากนั้นก็จะสร้างเวทีเสวนากันโดยเอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ผลัดกันเขียน เวียนกันอ่าน ผ่านกันชม ส่วนให้ก็ใช้วิธีการ Facebook live ในการสื่อสาร Agenda ที่ซ่อนเร้นที่ตนเองตั้งใจจะบอกเพื่อหลอกด่าภาครัฐ หรือองค์กรที่ตนเองไม่ชอบ หรือตนเองเคยเป็นกรรมการแต่ผิดหวังเพราะทำอะไรก็ไม่สำเร็จเลยต้องออกมา (แต่อ้างความชอบธรรมจากชื่อวิทยากร) จะชอบไม่ชอบก็ขอเรียนว่าเป็นมุมมองของผู้เขียนนะครับ
กลับมาถึงข้อมูลที่อยากจะเรียนตามหัวข้อข้างต้น คือว่ามันมีประเด็นสำคัญสัก 3 ประการที่ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่ระบบเศรษฐกิจสังคมในแทบทุกประเทศ ทุกอุตสาหกรรม สิ่งที่ว่านั้นคือ
1. การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี เราจะเห็นได้ว่านับแต่ระบบคอมพิวเตอร์เรานั้นประมวลผลได้เร็วขึ้นมากๆจากในอดีต มีหน่วยความจำที่มากขึ้นกว่าในอดีต มันเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ย้อนหลังลงไปไม่เกินยี่สิบปี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทำงานเราได้สร้างงานสร้างอาชีพมากมาย วันนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในมือของเรากลับมีประสิทธิภาพอาจจะมากกว่า Super computer ในอดีตมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องมือตรงนี้มันสามารถจะสื่อสารกันได้เองแบบ machine to machine มันสามารถเรียนรู้ว่าหนทางที่ดีกว่าเดิมที่ถูกป้อนข้อมูลให้ทำตอนแรกนั้นคืออะไร มันสามารถประมวลผลข้อมูลในหลากหลายรูปแบบทั้งที่มีรูปแบบชัดเจนกับข้อมูลที่ไร้รูปแบบที่ระบบปฏิบัติการ ระบบประมวลผลแบบดั้งเดิมนั้นทำไม่ได้ เช่น เอาข้อมูล Location มาผสมกับข้อมูลภาพ เสียง หรือรายการธุรกรรมแล้วออกมาเป็นความลับในสิ่งอันเป็นพฤติกรรมของผู้คน เพื่อการวางแผนงานทางธุรกิจ เป็นต้น สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจต้องปรับปรุงคน งาน เงิน และเครื่องมือไปตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่อะไรๆก็ต้องการเดี๋ยวนี้ เวลานี้ อยากได้ ต้องได้ ตัวอย่าง เช่น สี่ทุ่มครึ่งอยากกินผัดไทยห่อไข่ ไม่ต้องออกจากบ้าน สั่งของกิน จ่ายเงินผ่านกระเป๋าเงินในโทรศัพท์ อีกไม่กี่นาที ก็มีคนทำหน้าที่ส่งของ ส่งอาหารที่เราสั่งตอบโจทย์ความขี้เกียจของตัวผู้บริโภค ธุรกิจแบบที่ตัวกลางหายไป หรือมีระบบกลางมาดูแล มันทำให้คนที่ไม่ปรับตัวต้องล้มหายตายจาก สังเกตนะครับคนที่ออกมาร้องให้รัฐเอาภาษีมาอุ้ม ต้องมีเงินกู้ดอกเบี้ยถูกมาอุ้ม แต่ตัวเองจะอยู่แบบเดิมๆ มันแฟร์กับคนเสียภาษีหรือไม่
2. การรบกันของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้งที่เป็นสงครามจริง ฆ่ากันจริง แต่ผ่านประเทศตัวแทน การมีความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้นในหลายภูมิภาค หรือการก่อสงครามการค้าระหว่างกัน ขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา เจรจาแล้วก็ล้ม แล้วก็เลื่อน หุ้นก็สามวันดีสี่วันลบ ผันผวนกันไปหมด การผลิตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกแบบแบ่งงานกันทำมันก็กระทบไปหมด ของก็เดี๋ยวถูกเดี๋ยวแพง ผมลองคิดเล่นๆนะครับ มีช้างสามตัวลงมาเล่นน้ำ ทะเลาะกันในบ่อเล็ก ตัวที่หนึ่งกับตัวที่สองชอบตีกัน เอางาทิ่มกัน ตัวที่สองกับตัวที่สามไม่ทะเลาะกันแบบตีกันแต่ชอบเอาเท้ากระทืบน้ำให้มันกระเด็นใส่กันหรือพ่นน้ำใส่กันแบบแรงๆ แต่ตัวที่หนึ่งกับตัวที่สามกลับมีใจให้กันแอบสบตากันบ่อยๆ คือรักระหว่างสมรภูมิรบ ถ้าประเทศเราคือปลาสลิดในบ่อ ประเทศญี่ปุ่นคือปลาพะยูนในบ่อ มันจะวุ่นวาย เวียนหัว เมาคลื่นลมในบ่อกันประมาณไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องหลบงาที่ทิ่มใส่กัน ขืนพลาดก็เลือดตกยากออก
3. ผู้คนในประเทศเรามีคนสูงวัยมากขึ้น คนที่มีอายุเกิน 60 ปีมีกี่%ของประชากรทั้งหมด คนที่มีอายุเกิน 65 ปี มีกี่%ของประชากรทั้งหมด อัตราการเกิดของเด็กลดลง คหนุ่มสาวกำลังมีสัดส่วนมากขึ้น เขาเหล่านั้นบ้างก็เคยได้รับผลกระทบจากวิกฤติในปี 2540 บ้างก็เจอกับวิกฤติปี 2551 แต่ถ้าเป็น Gen Z เขาแทบไม่รู้จัก คนรุ่นเก่าก็เอาแต่พยายามจะยึดโลกใบเก่าให้อยู่ในยุคตัวเอง หวงกับอำนาจเอาไว้ ชอบใช้วาทกรรมว่า “ในสมัยผมนะ… เราจะทำแบบนี้” หรือ “ผมอาบน้ำร้อนมากกว่าคุณกินข้าว” ในขณะที่ไม่พยายามเตรียมคนรุ่นถัดไปให้สู้กับ
ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด
เครื่องมือที่ยังไม่ได้สร้าง
คำถามคือเมื่อถึงเวลาที่คนรุ่นเก่าหมดแรงและคนรุ่นใหม่ป้อแป้ เอาแต่จะเป็นศิลปินนักร้อง เราจะเอาสรรพกำลังไหนไปขับเคลื่อนประเทศ คนหนุ่มสาวในประเทศจีนที่ผู้เขียนไปดูงานเขามีหลักการทำงาน 996 กล่าวคือทำงาน 9 โมงเช้าถึง 9 โมงกลางคืนหรือสามทุ่ม ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ถ้าทำงานโครงการที่คิดสำเร็จจะได้ทุนเป็นล้านหยวนออกไปตั้งกิจการเป็น Start up แต่ในเวลานี้ของบ้านเราผู้นำวัยหนุ่มสาวก็ติดกับดักทะเลาะกับคนสูงวัย เหยียดกัน เฉี่ยวกัน ทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์ คนสูงวัยก็ไม่ทำตัวให้น่านับถือ คนเป็นเด็กก็ร้อนวิชาเกินเลย แบบว่าร้อนเป็นไฟละลายตรงเธอ มันจะอยู่ไม่เป็น หรืออยู่ให้เป็น หรืออยู่ให้สงบ หรืออยู่อย่างฉลาด หรืออยู่ไปวันๆ นั่งหายใจทิ้ง หรืออยู่แบบเปลืองข้าวสุก มันก็ล้วนเป็นคนไทยที่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ฮ่องกงเคยมองเราอย่างไร ตอนนี้เราก็มองฮ่องกงอย่างนั้น
ทั้งสามพายุได้พัดผ่านเข้ามาในระบบเราแล้ว บางครั้งหอบเอา PM2.5 เข้ามาด้วย เราจะได้เห็นผู้รอดชีวิตจริง ผู้ที่ต้องล้มหายตายจากจริง คนที่หนีความจริง คนที่รับความจริง คนที่อยู่ได้หรือไม่ได้กับความจริงในปี 2563 ในอีกไม่นาน
สติมา ปัญญาเกิด
สติเตลิด จะเกิดแต่ปัญหา
หยุดพูดและหันมาฟัง
เพราะการฟังคือการอ่านในสิ่งที่เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เราแยกแยะได้ แต่ถ้าเราเอาแต่พูดแล้วเราจะได้ยินได้อ่านอะไรที่มันจะมาเป็นทางออกของชีวิตล่ะ… ขอบคุณครับ