Blog Page 110

5 ข้อท่องให้ขึ้นใจ เปลี่ยนนิสัยชอป ให้เป็นชอบเก็บเงิน

5 ข้อท่องให้ขึ้นใจ เปลี่ยนนิสัยชอป ให้เป็นชอบเก็บเงิน

นิสัยติดชอปเป็นสาเหตุที่ใครหลายคนไม่มีเงินเก็บ เก็บเงินไม่ได้ เก็บเงินไม่อยู่ เห็นของลดราคาก็อยากได้ ยิ่งชอปออนไลน์ยิ่งเสียเงินง่ายสุด ๆ นิสัยนี้ถ้าไม่รีบแก้จะกลายเป็นปัญหาในอนาคต ฉะนั้นเริ่มวันนี้ก็ยังไม่สาย เปลี่ยนจากนิสัยชอป ให้เป็นชอบเก็บเงินกันดีกว่านะคะ

5 ข้อท่องให้ขึ้นใจ เปลี่ยนนิสัยชอป ให้เป็นชอบเก็บเงิน

5 ขั้นออมเงินแบบขั้นบันได Step up ไปให้งอกเงย

5 ขั้นออมเงินแบบขั้นบันได Step up ไปให้งอกเงย

กำลังเก็บเงินแต่..ยังได้เท่าเดิมไม่มีเพิ่มขึ้น มีแต่ลดลงเพราะต้องนำไปใช้จ่ายกับเรื่องที่ไม่คาดคิด หรืออาจจะเสียไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น

ลองมาดูการออมเงินแบบขั้นบันไดกันดีกว่าค่ะ ว่าทำอย่างไรให้งอกเงย สามารถทำตามได้ไม่ยากเพียง 5 ขั้น

5 ขั้นออมเงินแบบขั้นบันได Step up ไปให้งอกเงย

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “ทำไมคนให้กู้สองฝั่งมองโอกาสและอุปสรรคต่างกันในตลาดสินเชื่อ” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562

ทำไมคนให้กู้สองฝั่งมองโอกาสและอุปสรรคต่างกันในตลาดสินเชื่อ

บทความผมวันนี้มาจากการอ่านข่าวสารที่ออกมาของผู้บริหารสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมคือธนาคารพาณิชย์กับมุมมองของผู้บริหารกิจการร่วมทุนลูกผสมระหว่าง​ Technology​ company หรือ​ Tech Fin ที่ก้าวเข้ามาร่วมทุนกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่

มันเป็นจริงเสมอเมื่อเราอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน​ เศรษฐกิจโตชะลอตัวลง​ สงครามการค้าไม่จบ​ เทคโนโลยีดีขึ้นแต่ราคาถูกลง​ ผู้คนต่างวัยต่างความคิด​ ขัดแย้งกันแทบทุกเรื่อง​ ตั้งแต่การใช้ชีวิต​ รูปแบบการทำงาน​ เราจึงพบคนสองแบบเสมอในการประชุม
คนที่หนึ่ง​ เห็นปัญหาในทุกทางออก
คนที่สอง​ เห็นทางออกในทุกปัญหา
คนที่สาม​ คือคนที่บอกว่าเกิดอะไรในระบบเศรษฐกิจ​ อธิบายอดีตเก่งแต่ไม่บอกอนาคตว่าน่าจะไปยังไงต่อ
คนที่สี่คือคนที่ต้องมาตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร​ จะเดินกันอย่างไร

เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานผลการดำเนินงานธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 3 ปี 2562 พบว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะลูกหนี้​ SME​ ส่งผลให้สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์เติบโตลดลงต่อเนื่องจาก 4.2% ในไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ระดับ 3.8% ในเวลาเดียวกันคุณภาพสินเชื่อของระบบพาณิชย์ในภาพรวม ยังมีสัดส่วนหนี้เสียหรือ​ NPL​ ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 2.95% เป็น 3.01% โดยมียอดคงค้าง NPL ที่ 4.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อน  สาเหตุมาจากลูกหนี้รายใหญ่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อ​ SME​

ฝั่งผู้บริหารสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่ทำธุรกิจปล่อยกู้รายย่อย​ SM​E ต่างก็กังวลว่า​ปีหน้า​ กู้ซื้อบ้านจะผ่านอนุมัติยาก เหตุเศรษฐกิจชะลอ ถูกหั่น ค่าล่วงเวลา(OT)กระทบรายได้ของผู้ยื่นขอกู้ หลังเห็นสัญญาณรายรับของแรงงานไม่ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันในไตรมาส 4 ปีนี้​ตลาดสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยก็ยังไม่ฟื้น เหตุเร่งโอนก่อนมีมาตรการ​ LTV และพบว่ายอดปฏิเสธการให้สินเชื่อพุ่ง 40% บางท่านให้ข้อมูลว่า​ ภาพรวมสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยสิ้นปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราติดลบ 10-15% สาเหตุหลักๆ มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวบวกกับมาตรการ LTV และยังเห็นสัญญาณกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เคยได้รับค่าล่วงเวลา (OT) เริ่มไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของกลุ่มนี้ลดลง ขณะเดียวกันคาดว่า ในปีหน้าหลายธนาคารจะไม่นำรายได้จาก OT มาคิดรวมเป็นรายได้ของผู้กู้​ ดังนั้นจะทำให้ผู้ยื่นขอสินเชื่อมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อยากขึ้น ธนาคารจะเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพราะเมื่อเศรษฐกิจชะลอและเห็นสัญญาณความสามารถในการผ่อนชำระต่ำ เพราะรายได้คนกู้น้อยลง ก็ต้องมองบนความเป็นจริงหากฝืนไปก็เจ็บตัว ส่วนหนี้เสีย NPL เห็นสัญญาณจากทุกอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นประเด็นของทุกธนาคารต้องระมัดระวังเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว

หันกลับมาในมุมของผู้บริหารกิจการร่วมทุนระหว่าง​ Tech Fin กับ​แบงก์พบว่าเขามีความมุ่งมั่นจะเอาบริการที่คิดค้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้า ต่อยอดจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าผู้ใช้บริการสื่อสารบน App อยู่แล้วกว่า 44 ล้านคน บวกกับฐานลูกค้าของธนาคารอีกเกือบ 17 ล้านคนแล้ว เขามองเห็นโอกาสในกลุ่มคนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Underbanked) อีกประมาณ 45% ซึ่งเป็นคนที่มีบัญชีกั
(มันมีคำถามตลอดว่าระบบดั้งเดิมทำไมมองไม่เห็น​ มันเป็นเพราะอะไร)​
จะมีการสร้างการให้บริการทั้งด้านสุขภาพทางการเงินหรือตอบสนองผู้ใช้ App ให้มีวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคล การประกันภัยและการลงทุน ซึ่งเป็นโจทย์ในระยะยาว โดยนำเอาฐานข้อมูล (Data) ที่มีอยู่แล้วเริ่มจากการประเมินพฤติกรรมลูกค้าบุคคล พฤติกรรมลูกค้าผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจส่วนตัวแล้วนำข้อมูลมาพัฒนาบริการที่ง่ายให้เข้าถึงลูกค้าด้วยความศรัทธาและปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการในขั้นตอนประเมินความเสี่ยงและประเมินรายได้ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (ซึ่งมันก็รวมถึงกลุ่มที่สถาบันการเงินรูปแบบเก่ามองว่าอาจจะเสี่ยงในปีหน้า)​ โดยวงเงินกู้และดอกเบี้ยจะเป็นไปตามความเสี่ยงของตัวลูกค้าที่สะท้อนในข้อมูลนั่นเองแต่ก็คิดได้ไม่เกิน​ 28% ต่อปี

“เรากำลังเตรียมสร้างทีมงานและพัฒนาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์บริการ ซึ่งเวลานี้อาศัยทีมงานจากเครือข่ายที่มาช่วย​ จากนั้นกลางปี 2563 จะเริ่มให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Lending) ซึ่งช่วงปีแรกหวังว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจเป็นหลักล้าน (ย้ำอีกทีว่าหลักล้านคน)​”

ท่านผู้อ่านลองคิดตามนะครับ​ ว่าใครจะอยู่  ใครจะรอด​ ในปีหน้าอันไม่ไกลนี้รดิตบูโรได้ตั้งแต่วันที่  1 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป

4 วิธี จะใช้บัตรเครดิตยังไง? ให้ไม่เป็นหนี้

4 วิธี จะใช้บัตรเครดิตยังไง? ให้ไม่เป็นหนี้

ใครที่เป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มใช้บัตรเครดิต ขอบอกเลยนะคะว่าต้องรอบคอบมาก ๆ จริงอยู่ที่มีบัตรเครดิตแล้วสะดวกสบายขึ้น แต่จะบริหารจัดการอย่างไรให้ลื่นไหล จ่ายไหว ไม่เป็นปัญหา วางแผนให้ใช้เป็น แถมยังประหยัดได้อีกด้วยค่ะ

เปิด 5 นิสัยใช้จ่าย ที่ทำนายอนาคต

เปิด 5 นิสัยใช้จ่าย ที่ทำนายอนาคต

อยากมีอนาคตแบบไหน? พฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบันก็สามารถทำนายความมั่นคงทางการเงินของเราได้นะคะ มาดูกันว่าตอนนี้คุณมีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบไหน?

สิ่งที่สำคัญคือ อย่าลืมสร้างวินัยทางการเงิน รู้จักอดออม วางแผนการใช้เงินค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศคง. 1213

เปิด 5 นิสัยใช้จ่าย ที่ทำนายอนาคต

ใช้เป็น เก็บเป็น รู้จักลงทุน: ใช้ 50 ลงทุน 25 ออม 25 >> มั่งคั่ง มั่งมี ชีวิตดีเหลือเกิน

ใช้แบบพอดี เก็บแบบพอใจ: ใช้ 80 ออม 20 >> อยู่ดี กินดี พอมีความสุข

ใช้เยอะเก็บน้อย: ใช้ 90 ออม 10 >> พออยู่ พอกิน พอใช้

ได้เท่าไหร่ก็ใช้หมด: ใช้ 100 เต็มจำนวน >> ไม่เหลือ ไม่มี ไม่มั่นคง
(เริ่มวางแผนการใช้จ่ายให้ดี)

มือเติบ เกินควร :ใช้เกิน 100 และหยิบยืม >> เป็นทุกข์ หนี้มา ปัญหาเกิด
(ควรรีบหาทางแก้ไขก่อนสายไป)

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “เมื่อพายุสามลูกมารวมกันและพัดผ่านระบบเศรษฐกิจของเรา” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562

เมื่อพายุ​สามลูกมารวมกันและพัดผ่านระบบเศรษฐกิจ​ของเรา

บทความวันนี้เกิดจากการที่ได้ไปรับรู้รับฟังมาจากนักวิชาการที่ทำงานติดดิน​ เดินทางทำวิจัย​ สอบถามผู้คน​ ไม่ใช่แบบ (1) นั่งอยู่ในรั้วในวังแล้วคิดเอาจากข้อมูลที่ไปบังคับให้คนเขาส่งมาให้​ หรือแบบประเภท (2) เอามือถูไถไปบนโทรศัพท์มือถือ​ หยิบเอารายงานที่นั่นหน่อย​ ที่นี่หน่อยมาผสมผสาน​กันแล้วก็ยกร่างขึ้นมาใหม่​ แล้วอ้างว่ามันไม่ต้องท่องไปในโลกความจริงหรอก​ เอาข้อมูลจากโลกเสมือนจริงมาเขียนก็ได้​ หรืออีกแบบ (3) ประเภทหนึ่งที่ผมต้องขอบอกว่ารังเกียจมากคือพวกอุปทาน​ตัวเองเป็น​ ผู้นำเครือข่าย​ กรรมการสมาพันธ์​ แล้วก็ต่อด้วยภาษาที่ใครก็ไม่เข้าใจ เช่น​ สุขภาวะวิถี-ชีวียั่งยืน-​ฟื้นฟูนิเวศ-เศรษฐกิจพิชิตมาร อะไรประมาณนี้​ จากนั้นก็จะสร้างเวทีเสวนากันโดยเอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้​ แล้วก็ผลัดกันเขียน​ เวียนกันอ่าน​ ผ่านกันชม​ ส่วนให้ก็ใช้วิธีการ​ Facebook live ในการสื่อสาร​ Agenda ที่ซ่อนเร้นที่ตนเองตั้งใจจะบอก​เพื่อหลอกด่าภาครัฐ​ หรือองค์กร​ที่ตนเองไ​ม่ชอบ​ หรือตนเองเคยเป็นกรรมการแต่ผิดหวังเพราะทำอะไรก็ไม่สำเร็จเลยต้องออกมา (แต่อ้างความชอบธรรมจากชื่อวิทยากร)​ จะชอบไม่ชอบก็ขอเรียนว่าเป็นมุมมองของผู้เขียนนะครับ

กลับมาถึงข้อมูลที่อยากจะเรียนตามหัวข้อข้างต้น​ คือว่ามันมีประเด็นสำคัญสัก​ 3 ประการที่ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่ระบบเศรษฐกิจสังคมในแทบทุกประเทศ​ ทุกอุตสาหกรรม​ สิ่งที่ว่านั้นคือ​
1. การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี เราจะเห็นได้ว่านับแต่ระบบคอมพิวเตอร์เรานั้นประมวลผล​ได้เร็วขึ้นมากๆจากในอดีต​ มีหน่วยความจำที่มากขึ้นกว่าในอดีต​ มันเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง​ ย้อนหลังลงไปไม่เกินยี่สิบปี​ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทำงานเราได้สร้างงานสร้างอาชีพมากมาย​ วันนี้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในมือของเรากลับมีประสิทธิภาพอาจจะมากกว่า​ Super computer ในอดีตมากมาย​ ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องมือตรงนี้มันสามารถจะสื่อสารกันได้เองแบบ​ machine to machine มันสามารถเรียนรู้ว่าหนทางที่ดีกว่าเดิมที่ถูกป้อนข้อมูลให้ทำตอนแรกนั้นคืออะไร​ มันสามารถประมวลผล​ข้อมูลในหลากหลายรูปแบบทั้งที่มีรูปแบบชัดเจนกับข้อมูลที่ไร้รูปแบบที่ระบบปฏิบัติการ​ ระบบประมวลผล​แบบดั้งเดิมนั้นทำไม่ได้​ เช่น เอาข้อมูล​ Location มาผสมกับข้อมูลภาพ​ เสียง​ หรือรายการธุรกรรมแล้วออกมาเป็นความลับในสิ่งอันเป็นพฤติกรรมของผู้คน​ เพื่อการวางแผนงานทางธุรกิจ​ เป็นต้น​ สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจต้องปรับปรุงคน​ งาน​ เงิน​ และเครื่องมือไปตอบโจทย์​ความต้องการของลูกค้าที่อะไรๆก็ต้องการเดี๋ยวนี้​ เวลานี้​ อยากได้​ ต้องได้​ ตัวอย่าง เช่น​ สี่ทุ่มครึ่งอยากกินผัดไทยห่อไข่​ ไม่ต้องออกจากบ้าน​ สั่งของกิน​ จ่ายเงินผ่านกระเป๋าเงินในโทรศัพท์​ อีกไม่กี่นาที​ ก็มีคนทำหน้าที่ส่งของ​ ส่งอาหารที่เราสั่งตอบโจทย์​ความขี้เกียจ​ของตัวผู้บริโภค​ ธุรกิจแบบที่ตัวกลางหายไป​ หรือมีระบบกลางมาดูแล​ มันทำให้คนที่ไม่ปรับตัวต้องล้มหายตายจาก​ สังเกตนะครับคนที่ออกมาร้องให้รัฐเอาภาษีมาอุ้ม​ ต้องมีเงินกู้ดอกเบี้ยถูกมาอุ้ม​ แต่ตัวเองจะอยู่แบบเดิมๆ​ มันแฟร์กับคนเสียภาษีหรือไม่

2. การรบกันของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทั้งที่เป็นสงครามจริง​ ฆ่ากันจริง​ แต่ผ่านประเทศตัวแทน​ การมีความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้นในหลายภูมิภาค​ หรือการก่อสงครามการค้าระหว่างกัน​ ขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา​ เจรจาแล้วก็ล้ม​ แล้วก็เลื่อน​ หุ้นก็สามวันดีสี่วันลบ​ ผันผวนกันไปหมด​ การผลิตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกแบบแบ่งงานกันทำมันก็กระทบไปหมด​ ของก็เดี๋ยวถูกเดี๋ยวแพง​ ผมลองคิดเล่นๆนะครับ​ มีช้างสามตัวลงมาเล่นน้ำ​ ทะเลาะกันในบ่อเล็ก​ ตัวที่หนึ่งกับตัวที่สองชอบตีกัน​ เอางาทิ่มกัน​ ตัวที่สองกับตัวที่สามไม่ทะเลาะกันแบบตีกันแต่ชอบเอาเท้ากระทืบน้ำให้มันกระเด็นใส่กันหรือพ่นน้ำใส่กันแบบแรงๆ​ แต่ตัวที่หนึ่งกับตัวที่สามกลับมีใจให้กันแอบสบตากันบ่อยๆ​ คือรักระหว่างสมรภูมิ​รบ​ ถ้าประเทศเราคือปลาสลิดในบ่อ​ ประเทศญี่ปุ่นคือปลาพะยูนในบ่อ​ มันจะวุ่นวาย​ เวียนหัว​ เมาคลื่นลมในบ่อกันประมาณไหน​ ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องหลบงาที่ทิ่มใส่กัน​ ขืนพลาดก็เลือดตกยากออก​

3. ผู้คนในประเทศเรามีคนสูงวัยมากขึ้น​ คนที่มีอายุเกิน​ 60 ปีมีกี่%ของประชากรทั้งหมด​ คนที่มีอายุเกิน​ 65 ปี มีกี่%ของประชากรทั้งหมด​ อัตราการเกิดของเด็กลดลง​ คหนุ่มสาวกำลังมีสัดส่วนมากขึ้น​ เขาเหล่านั้นบ้างก็เคยได้รับผลกระทบจากวิกฤติ​ในปี​ 2540 บ้างก็เจอกับวิกฤติ​ปี​ 2551 แต่ถ้าเป็น​ Gen Z เขาแทบไม่รู้จัก​ คนรุ่นเก่าก็เอาแต่พยายามจะยึดโลกใบเก่าให้อยู่ในยุคตัวเอง​ หวงกับอำนาจเอาไว้​ ชอบใช้วาทกรรมว่า​ “ในสมัยผมนะ… เราจะทำแบบนี้”  หรือ​ “ผมอาบน้ำร้อนมากกว่าคุณกินข้าว” ในขณะที่ไม่พยายามเตรียมคนรุ่นถัดไปให้สู้กับ
ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด
เครื่องมือที่ยังไม่ได้สร้าง

คำถามคือเมื่อถึงเวลาที่คนรุ่นเก่าหมดแรงและคนรุ่นใหม่ป้อแป้​ เอาแต่จะเป็นศิลปินนักร้อง​ เราจะเอาสรรพกำลังไหนไปขับเคลื่อนประเทศ​ คนหนุ่มสาวในประเทศจีนที่ผู้เขียนไปดูงานเขามีหลักการทำงาน​ 996 กล่าวคือทำงาน​ 9 โมงเช้า​ถึง​ 9 โมงกลางคืนหรือสามทุ่ม​ ทำงาน​ 6 วันต่อสัปดาห์​ ถ้าทำงานโครงการที่คิดสำเร็จจะได้ทุนเป็นล้านหยวนออกไปตั้งกิจการเป็น​ Start​ up แต่ในเวลานี้ของบ้านเราผู้นำวัยหนุ่มสาวก็ติดกับดักทะเลาะกับคนสูงวัย​ เหยียดกัน​ เฉี่ยวกัน​ ทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์​ คนสูงวัยก็ไม่ทำตัวให้น่านับถือ​ คนเป็นเด็กก็ร้อนวิชาเกินเลย​ แบบว่าร้อนเป็นไฟละลายตรงเธอ​ มันจะอยู่ไม่เป็น​ หรืออยู่ให้เป็น​ หรืออยู่ให้สงบ​ หรืออยู่อย่างฉลาด​ หรืออยู่ไปวันๆ​ นั่งหายใจทิ้ง​ หรืออยู่แบบเปลืองข้าวสุก​ มันก็ล้วนเป็นคนไทยที่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น​ ฮ่องกงเคยมองเราอย่างไร​ ตอนนี้เราก็มองฮ่องกงอย่างนั้น​

ทั้งสามพายุได้พัดผ่านเข้ามาในระบบเราแล้ว​ บางครั้งหอบเอา​ PM2.5 เข้ามาด้วย​ เราจะได้เห็นผู้รอดชีวิตจริง​ ผู้ที่ต้องล้มหายตายจากจริง​ คนที่หนีความจริง​ คนที่รับความจริง​ คนที่อยู่ได้หรือไม่ได้กับความจริงในปี​ 2563 ในอีกไม่นาน​

สติมา​ ปัญญาเกิด
สติเตลิด​ จะเกิดแต่ปัญหา
หยุดพูดและหันมาฟัง
เพราะการฟังคือการอ่านในสิ่งที่เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย​ เราแยกแยะได้​ แต่ถ้าเราเอาแต่พูดแล้วเราจะได้ยินได้อ่านอะไรที่มันจะมาเป็นทางออกของชีวิตล่ะ… ขอบคุณครับ

เรื่องน่าอ่าน