Blog Page 140

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “อะไรคือลักษณะที่อาจไม่พึงประสงค์สำหรับคนที่เขามีหน้าที่พิจารณาให้เงินกู้” : วันที่ 3 มิถุนายน 2562

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 3 มิถุนายน 2562

“อะไรคือลักษณะที่อาจไม่พึงประสงค์สำหรับคนที่เขามีหน้าที่พิจารณาให้เงินกู้”

โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/590959

มันเป็นเรื่องที่จะว่าง่ายก็ง่าย​ จะว่ายากก็ยากในยุคนี้เวลานี้ที่การยื่นขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปซื้อบ้าน​ ซื้อคอนโด​ ซื้อรถยนต์​ กู้เอาไปใช้จ่ายทั้งที่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายอันจำเป็นบ้าง เช่น ค่าเทอมลูกหลาน​ เกิดอุบัติเหตุ​ โรคภัยไข้เจ็บ​ ต่อเติมบ้าน​ ซ่อมแซม​ หรือจะเป็นพวกค่าใช้จ่ายที่อาจไม่จำเป็นเช่นซื้อของแพงๆ​ โดยที่บางครั้งของพวกนั้นก็มีแล้วเช่น​ โทรศัพท์​มือถือ​ กระเป๋าแบรนด์เนม​ รองเท้าโน่นนั่นนี่​ หรือที่เลวร้ายหน่อยคือกู้ไปทำอะไรที่บันเทิงเริงรมย์​ แต่ต้องมาทุกข์​ตรมตอนจ่ายหนี้ เช่น​ กู้ไปกินเลี้ยงวันครบรอบวันเกิดอะไรอย่างนี้​ เที่ยวไปก่อนผ่อนทีหลัง​ หนักๆ เข้าก็ประเภทวินาศไม่ว่าแต่ข้าต้องได้ชื่อ​ เป็นต้น​ เรื่องพวกนี้​ อันนี้คือเหตุเริ่มต้นของการมีความจำเป็นต้องมีหนี้​ มีทั้งหนี้ดีและหนี้ที่จะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต

ทีนี้มามองคนที่ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์​ พิจารณาคำขอกู้​ ซึ่งต้องคนหาตัวตนที่แท้จริงของคนที่มาขอกู้​ โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญดังนี้
1.รายได้และแหล่งที่มาของรายได้​ จุดที่สำคัญมากคือ​ คำว่ามากพอที่จะเชื่อว่าสามารถมีเงินมาชำระหนี้ได้​ มีความสม่ำเสมอ​ ไม่วูบวาบเกินไป​ ที่สำคัญแหล่งที่มาของรายได้ เช่น กิจการของนายจ้าง​ ทำเลที่ทำมาหากินเป็นอย่างไร

2.ขีดความสามารถในการชำระหนี้​ ในตรงนี้จะดูแต่ว่ามีรายได้อย่างเดียวไม่ได้ครับ​ ต้องเอารายได้ที่มีมาหักด้วยหนี้ที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือน เช่น​ ค่าผ่อนบ้าน​ ค่างวดผ่อนรถยนต์​ ค่าผ่อนสินเชื่อ​0% ค่าผ่อนบัตรเครดิต​ มาหักออกจากรายได้​ แล้วดูว่าเงินรายได้สุทธิจะเป็นเท่าใด​ ยกตัวอย่าง มีรายได้​ 18,000 บาทต่อเดือน​ มีหนี้บัตรเครดิต​ 3ใบๆ ละ​ 30,000 บาท รวมเป็นยอดหนี้​ 90,000 บาท​  ถ้าผ่อนขั้นต่ำก็ต้องจ่ายหนี้รายเดือน​ 9,000 บาท​ จาก​ 18,000 -​ 9,000 = 9,000 บาทต่อเดือน​ เอา​ 30วันไปหาร​ ก็จะได้ว่ารายได้หลังหักหนี้บัตรแล้ว​เหลือเงินกินใช้​ 300 บาทต่อวัน​ คำถามคือไหวหรือไม่ในกรุงเทพฯ

การเอายอดผ่อนหนี้ทุกสัญญาต่อเดือนมาหารด้วยรายได้รายเดือน​ เขาเรียกกันว่าอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้หรือ​ Debt service ratio หรือ​ DSR

3.ลักษณะนิสัยการชำระหนี้ในบัญชีหนี้สินต่างๆ ที่ตนเองได้ไปกู้ไว้ในอดีตว่าเมื่อได้ก่อหนี้รายการนั้นๆ แล้ว​ ได้ทำตามสัญญาไหม เป็นหนี้แล้วใช้หนี้ไหม ใช้หนี้ครบตามจำนวนไหม ใช้หนี้ตรงเวลาไหม มีหนี้เกินวงเงินไหม ตัวอย่างเช่น​ มีบางบัญชีในบางเดือนค้างชำระแต่ต่อมาก็รีบไปชำระในเดือนถัดไปแล้วจากนั้นจนถึงปัจจุบันไม่มีการค้างอีกเลย​ มีการค้างชำระแล้วก็ไปจ่ายชำระแต่เป็นอย่างนี้บ่อยๆในช่วง​ 6 เดือนหรือช่วง​ 12 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ มีการยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้หรือไม่ มีการปิดบัญชีไปบ้างหรือไม่​ ปิดไปนานหรือยัง​ มีการไปค้างชำระยาวนานต่อเนื่องจนเจ้าหนี้ตามไม่ไหวตัดใจขายให้คนอื่นมาตามหนี้หรือไม่ มีการพักชำระหนี้หรือไม่ในบัญชีใดบัญชีหนึ่ง​ มีการถูกติดตามทวงถามจนถึงขั้นเจ้าหนี้บางแห่งฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่​ ที่เลวร้ายคือมีการค้างชำระต่อเนื่องเกิน​ 90วันหรือ​ 3เดือนก็จะกลายเป็นลูกหนี้​ NPL​ อาการแบบนี้จะบอกลักษณะ​ มีเงินแต่เหนียวหนี้​ ไมทวงสุดๆ

ทีนี้คนที่มีลักษณะชำระหนี้ดี​ ใครๆก็อยากคบคือ​ ทุกบัญชีมีหนี้ไม่เต็มวงเงิน​ มีบัญชีบัตรเครดิตแบบใช้​ 100จ่าย​ 100 มีบัญชีจำนวนไม่มาก​ ยอดผ่อนทุกบัญชีรวมกันเทียบกับรายได้ก็ไม่เกิน​ 40-50%

คนที่เขาต้องตัดสินใจนั้น​ เขาคิดเสมอว่าการจะให้เงินกู้ใครนั้น
1.เงินนั้นไม่ใช่ของเขา​ ไม่ใช่ของแบงก์ แต่เป็นของผู้ฝากเงิน​
2.การตัดสินใจนั้นต้องอธิบายได้ว่าทำไมจึงตัดสินใจแบบนั้น​ ไม่ว่าจะให้หรือไม่ให้
3.มันมีกฏกติกา​ มารยาท​ ระเบียบเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น​ ราคาหลักประกันเทียบกับวงเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน​ 90%, 75%บ้างเป็นต้น
4.การตัดสินใจนั้นต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเหมาะสม​ ที่จทำให้การตัดสินใจมีคุณภาพ
5.ต้องมั่นใจว่าเมื่อให้กู้ไปแล้วต้องไม่ไปเป็นภาระของคนกู้มากเกินกว่าขีดความสามารถของเขา​ คือผ่อนได้​ ได้ประโยชน์จากการกู้​ ให้กู้แล้วชีวิตลูกหนี้เขาควรจะดีขึ้น​ ไม่ใช่แย่ลง

อะไรคือลักษณะที่อาจไม่พึงประสงค์สำหรับคนที่เขามีหน้าที่พิจารณาให้เงินกู้จึงมาถึงตรงจุดสรุปว่ามันคือลักษณะพฤติกรรมที่​ ก่อหนี้แบบไม่เหตุผล​ ไม่วางแผนการใช้จ่าย​ พฤติกรรมในอดีตมีความเสี่ยงว่าจะเอามาใช้ในอนาคตกับเจ้าหนี้ใหม่ที่กำลังยื่นขอกู้​ ท่านผู้อ่านดูข้อ​ 2  ขีดความสามารถในการชำระหนี้กับข้อ 3 ลักษณะนิสัยในอดีตของการชำระหนี้​ที่ตนเองก่อเอาไว้

กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
อดีตเป็นเหตุ​ ปัจจุบันเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเหตุ​ อนาคตเป็นผล
สัญญาต้องเป็นสัญญา
เป็นหนี้ต้องใช้หนี้
พูดคำไหนก็ทำแบบนั้น

มันไม่ได้ยากในการตีความว่าต้องทำตนแบบไหน​ แต่มันจะยากมากถ้าคิดจะหลอกว่าเราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว​ แต่ขาดสิ่งที่จะมายืนยันให้คนพิจารณาสินเชื่อเขาเชื่อได้ว่า​เราจะทำตามนั้น​ ทั้งๆ ที่ในอดีต​ สิ่งนั้นมันบ่งบอกแบบตรงข้ามกัน

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรกับการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร ความเข้าใจคนละเรื่องเดียวกัน” : วันที่ 20 พฤษภาคม 2562

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 20 พฤษภาคม 2562

“การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรกับการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร ความเข้าใจคนละเรื่องเดียวกัน”

โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/589535

เหตุที่ผมต้องลุกขึ้นมาเขียนเรื่องนี้ก็เพราะเหตุว่าในการประชุมรับฟังความเห็นเรื่องกฎระเบียบที่จะออกมากำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินประเภทหนึ่งในประเทศไทยให้มีความระมัดระวัง​ มีมาตรฐานมากขึ้น​ ป้องกันความเสี่ยงในเรื่องหนี้เสีย​ และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ฝากเงินเพราะเหตุว่าตัวเลขสินเชื่อที่สถาบันการเงินประเภทนี้ได้ปล่อยออกไปให้กับครัวเรือนไทย​ ภายใต้คำนิยามหนี้ครัวเรือนไทย​มีจำนวนถึง​ 2ล้านล้านบาท​ สถาบันการเงินดังกล่าวคือ​ สหกรณ์ออมทรัพย์ครับ​ ด้วยความเคารพทุกท่าน​ สิ่งที่ผมใคร่ขอนำเรียนเป็นข้อมูลต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม​ ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหรือองค์กรที่ผมสังกัดนะครับ​ ผมมีข้อมูลมาลองชวนคิด​ จะเห็นด้วย​ เห็นต่างก็เป็นสิทธิ์ของท่านผู้อ่านนะครับ​ ข้อมูลมีดังนี้ครับ

1.การที่เราจะตัดสินใจให้กู้กับใครโดยเงินที่เอามาให้กู้นั้นมันไม่ใช่เงินของเรา​ แต่เป็นเงินที่ผู้คนทำมาหาได้ด้วยความลำบากและเขาหวังพึ่งความรู้ความสามารถเราให้ช่วยดูแล​ เขาได้ส่งผ่านความไว้เนื้อเชื่อใจมากับเงินฝาก​ เพื่อให้เรามาหาประโยชน์ผ่านบริการให้กู้​ เราคนนั้นต้องมีความรับผิดรับชอบเยี่ยงผู้บริหารสถาบันการเงินโดยทั่วไปหรือไม่

2.เราในฐานะบุคคลหรือคณะบุคคลในรูปกรรมการเงินกู้​ จำเป็นต้องรู้ข้อมูลหรือไม่ว่าสมาชิกที่มายื่นขอกู้ไม่ว่าเราจะรู้จักดีหรือไม่รู้จักก็ตาม​ เราต้องรู้​ ควรจะรู้หรือไม่ว่าเขามีหนี้ทั้งหมดก่อนมาหาเราเท่าไหร่​ เป็นหนี้อะไรบ้าง​ เป็นหนี้บ้าน​ บัตร​ รถยนต์​ สินเชื่อบุคคลอย่างละเท่าไหร่​ เป็นหนี้ที่ไหนบ้าง​ ที่สำคัญคือมีประวัติการชำระหนี้พวกนั้นเป็นอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา​ ผ่อนได้ปกติ​ มีการค้างชำระ​ มีการเคยค้างชำระแต่ตอนนี้โอเคแล้ว​ พักหนี้ที่ไหนบ้าง​ ถูกดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่​ มีหนี้บางบัญชีถูกโอนขายไปหรือไม่​ มีการปรับโครงสร้างหนี้บัญชีไหนบ้าง​ ปรับเมื่อไหร่​ หลังปรับผ่อนเป็นอย่างไร​

3.ข้อมูลตามข้อ​ 2. คือข้อมูลเครดิตครับ​ ภาษาชาวบ้านคือ​ ข้อมูลเครดิตบูโร​ ข้อมูลบูโรนั่นเอง​ ข้อมูลนี้ปัจจุบันมีสมาชิกของเครดิตบูโรที่เป็นสถาบันการเงินจำน​วน​ 99 แห่ง ทั้งส่งเข้ามาในระบบ​ และใช้ข้อมูลไปเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ​ ความตั้งใจ​ในการชำระ​หนี้​ของคนที่มายื่นขอกู้​ และในจำนวนนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์​ 3 แห่งเป็นสมาชิกเครดิตบูโรครับ

4.ทีนี้การได้มาซึ่งข้อมูลเครดิตบูโรนั้นจะทำได้​ 2แบบครับคือ
4.1​ เข้ามาเป็นสมาชิกเครดิตบูโร​ ปฏิบัติตามกฎหมาย​ ต้องส่งข้อมูลลูกหนี้และบัญชีเงินกู้ที่ตนเองอนุมัติเข้าระบบทุกเดือน​ เวลาจะดูข้อมูลใคร​ คนๆ นั้นต้องให้ความยินยอมและมีธุรกรรมการขอสินเชื่อ​ จะเที่ยวไปแอบดูแอบเช็คไม่ได้​ ใครไม่ทำตามกฎหมายปกป้องความเป็นส่วนตัวก็มีโทษถึงติดคุกติดตะราง​ วิธีนี้คือทางตรง​ สหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังมีข้อกังวลสารพัด​ แม้ว่าทางการจะขอให้เครดิตบูโรลดเงื่อนไขไม่คิดค่าสมาชิกเป็นเวลา​ 3 ปีนับแต่วันที่เป็นสมาชิกก็ตาม

4.2​ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่จะพิจารณาคำขอกู้​ กำหนดให้คนที่มายื่นคำขอกู้ไปตรวจเครดิตบูโรของตัวเอง​ ตามช่องทางที่มีอยู่​ รายละเอียดดูได้ที่​ www.ncb.co.th จากนั้นให้นำเอาข้อมูลรายงานเครดิตบูโรนั้นมายื่นพร้อมกับคำขอกู้​ เพื่อให้กรรมการเงินกู้มีข้อมูลตามข้อ​ 2 ใช้ในการพิจารณาตัวคนขอกู้ว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ

5.การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรจะมีประโยชน์ต่อระบบการเงินครับ​ เพราะสถาบันการเงินอื่นเขาก็จะลดความเสี่ยงลงเพราะว่าคนที่ขอกู้​ เขาก็วิ่งขอกู้ไปทั่ว​ ทีนี้ถ้าสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสมาชิกก็ส่งข้อมูลลูกหนี้เข้ามาในระบบ​ พอคนนี้ไปกู้ที่อื่น​ ที่อื่นนั้นก็จะเห็นว่าอ้าว.. คนนี้มีหนี้อีกหนึ่งที่คือสหกรณ์ออมทรัพย์​ การจะให้กู้ไม่ให้กู้ก็เป็นเรื่องของเจ้านั้นว่าจะคิดอย่างไร​ แต่ตัวสหกรณ์ออมทรัพย์อาจจะไม่อยากแชร์ข้อมูลลูกหนี้ตัวเองก็ได้​ นานาจิตตังครับ

6.มันเป็นไปได้หรือไม่ครับ​ ผมสมมติเหตุการณ์ว่า​ กรรมการเงินกู้ไม่อยากได้ข้อมูลตามข้อ​ 2 มาดู​ เพราะรู้ดีว่าลูกหนี้กู้เงินขาประจำนั้นเป็นอย่างไร​ อาจจะมีหนี้เยอะแต่ไม่เคยค้างเพราะหักเงินเดือนไว้แล้ว​ ส่วนจะพอกินพอใช้หรือไม่​ ไม่เกี่ยว​ อาจจะมีประวัติค้างชำระ​ หรือเป็นคนเคยค้าง​ หรือมีตำหนิอย่างใดอย่างหนึ่ง​ การไม่มีข้อมูลพวกนี้ก็ทำให้การอนุมัติมันก็อยู่บนพื้นฐานว่า​ ก็ในเวลาพิจารณามันมีข้อมูลแค่นี้​ เท่านี้​ ดังนั้นการตัดสินใจของเราก็รอบคอบเท่าที่ข้อมูลมีอยู่​
ถ้าเป็นตัวผม​ ผมก็กลัว​ กลัวคนฝากเงินครับ​ กลัวเขามา​ด่า​ กลัวเขาจะมาฟ้องให้เรารับผิดว่า​ ก็ถ้ามีข้อมูลเครดิตบูโรแล้ว​ เห็นลูกหนี้ที่มาขอกู้​ อาการขนาดนี้แล้ว​ ยังอนุมัติให้กู้​ เหตุเพราะหักเงินเดือนได้ก่อนแล้ว​ ถ้าเกิดเป็นหนี้เสีย​ หรือถูกฟ้องจากที่อื่นแต่ยังให้กู้อยู่​ มันก็หมิ่นเหม่​ใช่หรือไม่​ ดังนั้นการไม่มีข้อมูลชุดนี้ในข้อมูลการพิจารณาให้กู้หรือไม่​ตั้งแต่ต้น มันจะเป็นบวกกับคนพิจารณาหรือไม่​ มันจะเป็นบวกกับคนฝากเงินที่เขาไว้ใจเราหรือไม่​ อันนี้ข้อตั้งเป็นคำถามที่รอคำตอบนะครับ

ข้อมูลตามสื่อที่สะท้อนออกมาระบุว่าความกังวลของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ว่า

…. สำหรับผู้กู้จะต้องเข้าระบบตรวจสอบเครดิตบูโร ก่อนปล่อยกู้ จึงเป็นข้อกังวลด้วย โดยสหกรณ์ได้ใช้วิธีตรวจสอบดูแลกันเอง เพราะกรรมการ กับสมาชิก รู้จักกัน ใครฐานะการเงินเป็นอย่างไร เป็นหนี้ที่ไหนบ้างจึงไม่เห็นความจำเป็น ที่สมาชิกต้องมีค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเครดิตบูโร…

ขอเรียนอีกครั้งนะครับ​ ถ้าเป็นสมาชิกตามข้อ​ 4.1​ ไม่มีการเรียกเก็บค่าสมาชิกเป็นเวลา​ 3ปี​ เสียแต่ค่าดูข้อมูล​ 12บาทต่อครั้ง​ แต่ถ้าเลือก​แบบ​ 4.2​ คนยื่นขอกู้เป็นคนเสียค่าใช้จ่าย (กฎหมายกำหนดให้เสียไม่เกิน​ 200บาท​ครับ)​ ตัวสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ

ทิ้งท้ายครับ​ คำโบราณพูดไว้เสมอว่า​ รู้หน้า​ ไม่รู้ใจ หรือจิตมนุษย์นี้ไซร้​ ยากแท้หยั่งถึง​ คำว่ารู้จักกันในนิยามเดิมแบบไทยๆ จะเอาอยู่หรือไม่กับหนี้ครัวเรือนในยุคสมัยนี้​ หรือคำสมัยใหม่​ มีข้อมูลยิ่งเยอะยิ่งลดความเสี่ยง​

ท่านผู้อ่านลองใจนิ่งๆ​ ไม่คิดเราคิดเขา​ ไม่คิดเล็กคิดน้อย​ คิดอย่างเดียวถ้าเป็นเงินครอบครัวเราแล้วเราจะเอาไปให้ใครเขากู้แล้ว​ ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือเป็นมิตร​ เราควรขนขวายให้มีข้อมูลตามข้อ​ 2 ข้างต้นมาดูประกอบหรือไม่​ มันยากลำบากมากมายหรือไม่ในการหามาดู​ ฝากในอ้อมอกอ้อมใจของคนที่ถูกเรียกขานว่า​ ผู้บริหารองค์กรครับ

 

WealthMeUp ค้นหาคำตอบที่อยากรู้ 1:1 ตอน “ทางออกคนเป็นหนี้”

WealthMeUp ค้นหาคำตอบที่อยากรู้ 1:1

ตอน “ทางออกคนเป็นหนี้” กับ คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
ออกอากาศวันที่ 13 พฤษภาคม 2562

สัมภาษณ์สดทางวิทยุ “คัดข่าวมาคุย” ช่วง “หัวใจเศรษฐี” ทุกวันอังคารเว้นอังคารของเดือน เวลา 11.10 – 11.30 น. (วันที่ 14 และ 28 พฤษภาคม 2562) – ทางคลื่น FM 105 Smile Thailand

สัมภาษณ์สดทางวิทยุ “คัดข่าวมาคุย” ช่วง “หัวใจเศรษฐี”
ทุกวันอังคารเว้นอังคารของเดือน เวลา 11.10 – 11.30 น. (วันที่ 14 และ 28 พฤษภาคม 2562)
– ทางคลื่น FM 105 Smile Thailand
– อออนไลน์ www.105smilethailand.com
– www.facebook.com/105smilethailand

ผู้ให้สัมภาษณ์ : คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
ผู้ดำเนินรายการ : คุณศลิลนา ภู่เอี่ยม

ติดตามชมรายการ “พอง พอง” Wealth Me Up ตอน “ทางออกของคนเป็นหนี้”จะมีวิธีจัดการและหาทางออกอย่างไร ” วันที่ 13 พฤษภาคม 2562 เวลา 19.00 น. ได้ที่ Facebook Page : Wealth Me Up : โดยคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

ติดตามชมรายการ “พอง พอง” Wealth Me Up ตอน “ทางออกของคนเป็นหนี้”จะมีวิธีจัดการและหาทางออกอย่างไร ” ออกอากาศวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 เวลา 19.00 น. ได้ที่ Facebook Page : Wealth Me Up : โดยคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว​ แก้ไข​ ไม่ใช่เอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไข” : วันที่ 13 พฤษภาคม 2562

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 13 พฤษภาคม 2562

“ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว​ แก้ไข​ ไม่ใช่เอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไข”

โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/588899

บทความในวันนี้ต้องขอออกตัวไว้ก่อนไว้ว่าไม่ใช่การตอบโต้​ หรือการตั้งป้อมต่อสู้กันแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าหากเราเป็นผู้บริหารที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า “มืออาชีพ” รับจ้างเถ้าแก่หรือเจ้าของเงินมาบริหารกิจการให้รุ่งเรือง​ เติบโต​ และก้าวหน้า​ แน่นอนว่าสภาพเศรษฐกิจ​ เงื่อนไขทางกฎระเบียบ​ พฤติกรรมของลูกค้าย่อมไม่อยู่นิ่งให้เราบริหารได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวต้มกับไข่เค็มตอนเช้าแน่นอน​ โลกของการบริหารจัดการจึงมีบทเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี​ ปริญญาโทว่า “ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว​ แก้ไข​ ไม่ใช่แก้ตัว(กับเถ้าแก่ว่าทำไม่ได้​ ทำได้ยาก)​ หรือเอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไขโดยเฉพาะภาครัฐที่เขามีอำนาจหน้าที่​ เขามีข้อมูล​ และเขาก็เปิดโอกาสให้เข้าไปดูข้อมูล​ เข้าไปให้ความเห็นแล้ว​ เมื่อเถียงไม่ชนะ​ หรือสู้แล้วไม่ชนะด้วยวิชาการ​ ก็ไม่ควรใช้วิชามารไปอิงภาคการเมืองที่กำลังจะเข้ามาใหม่​ โดยเอาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจผ่านความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้ามาเป็นตัวประกัน​ แบบที่ตอนจบฉันยังคงมีกำไรไปแบ่งปันผลครบเหมือนเดิม

เรื่องมันมีอยู่ว่า​ เมื่อทางธนาคารกลางในประเทศของเราออกมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในสามมิติ คือ
1. ถ้ายังผ่อนเงินกู้ที่อยู่อาศัยหลังที่หนึ่งยังไม่จบหากจะก่อหนี้หลังที่สอง​ หรือสามก็ต้องมีการวางดาวน์เพิ่ม​ กู้ในสัดส่วนกับหลักประกันน้อยลง
2. สินเชื่อที่นำมา​ Top up จะไม่ใช่อะไรก็ได้​ เพื่อป้องกันการก่อหนี้ไม่มีหลักประกันมาแฝงกับส่วนต่างของหลักประกันของสูตรมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ​ (LTV)
3. ป้องกันการเก็งกำไร​ การกู้เงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยแต่ไม่ได้เอาไว้อยู่​ แต่เอาไปปล่อยเช่า​ หรือกู้เพื่อลงทุนกะเอาไว้ขายต่อฟันกำไรในอนาคต​ ซึ่งมันจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินจริง

ในฝั่งของคนที่ทำบ้าน​ ทำคอนโด​ ทำที่อยู่อาศัยขาย​ ก็เจอกับปัญหาแน่ๆ
1. โครงการที่กำลังสร้างกำลังขายจะทำอย่างไร​ กติกาสำหรับคนที่กู้มาซื้อมันเปลี่ยนแบบเป็นผลลบกับการบริหารของฝั่งคนขายของ
2. โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว​ กำลังขายอยู่​ ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาปิดขายทั้งหมด​ 14 เดือน​ เจอกติกาใหม่อาจต้องลากยาวไปเป็​น​ 18 หรือ​ 24​ เดือนแทน​ ต้นทุนที่เพิ่มจะทำอย่างไร

ทางออกสำหรับคนที่เป็นมืออาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมาก็คือ​ เร่งแก้ไขมิใช่แก้ตัว​ เร่งทำงานหนักขึ้น​ มิใช่ผ่อนงานหนักไปให้คนอื่น​ ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่านักผลักภาระมิใช่นักบริหารจัดการภาระ​

ผมขอยกคำพูดที่มีการนำเสนอในข่าวที่ระบุว่า…. สิ่งที่รัฐบาล (ผู้เขียน: คงหมายถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมา) ​น่าจะดำเนินการ คือ ควรไปดำเนินการกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย (ผู้เขียน​: คงหมายรวมถึงกำไรจากการทำธุรกิจด้วย)​ ทั้งนี้ ตนเสนอว่าควรจะผ่อนปรนเรื่องมาตรการ LTV โดยให้เลื่อนไปใช้เดือนมกราคม 2563 เนื่องจากจะได้ให้เวลากลุ่มผู้ซื้อ ระดับกลาง-ล่าง มีวินัยในการเก็บเงินออม (ผู้เขียน​: แล้วช่วงเวลาที่ขยายก็ทำแบบเดิมได้ใช่หรือไม่​ ดาวน์น้อย​ กู้มากเกิ​น​ LTV.​ ใครจะเก็งกำไรก็ทำไป​ แต่ขอเพียงของฉันขายได้อย่างนั้นหรือ)​ ส่วนการจะบังคับช่วงไหนก็พิจารณาตามความ เหมาะสมในปีหน้า(ผู้เขียน​ :ประเด็นนี้ได้มีการเสนอ และเจรจาต่อรองแล้วใช่หรือไม่​ สามารถหักล้างเหตุผลกับคนที่เขามีหน้าที่ออกกฎแล้วใช่หรือไม่)​ รวมถึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับลดระยะเวลาการเก็บข้อมูลลูกหนี้จากศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโรจาก 3 ปีเป็นเหลือ 2 ปี เพื่อส่งผลดีต่อลูกหนี้ในเรื่องของการเข้าถึงธุรกรรมการเงิน​ ผู้เขียนขอเรียนในประเด็นเรื่องระยะเวลาเก็บข้อมูลลูกหนี้ ดังนี้
1. ระยะเวลาที่เป็นมาตรฐานต่ำสุดของสากลในกว่า​ 190 ประเทศ คือ​ 3 ปี​ ประเทศเราจะต่ำกว่ามาตรฐานสากลหรือ​ แม้แต่เอธิโอเปียยังกำหนด​ 5 ปี​ กัมพูชากำหนด​ 10 ปี​ ท่านจะรับได้ไหมถ้าธนาคารโลกประเมินเราเรื่องนี้ลดลง
2. ความเสี่ยงของคนฝากเงินเพิ่มเพราะคนกลางคือธนาคารเห็นประวัติความตั้งใจในการชำระหนี้คนยื่นขอกู้น้อยลง​ การไปหยิบเอาเงินของคนฝากมาให้คนกู้มีความเสี่ยงมากขึ้น​ ท่านยังจำวิกฤติการณ์ปี​ 2540 ได้หรือไม่
3. แล้วคนที่เขามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีหล่ะครับ​ เขาควรได้ประโยชน์จากประวัติที่ดี​ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง​ คนที่มีวินัยเขาควรได้ประโยชน์ใช่หรือไม่

สุดท้ายครับ​ ผมเปรียบเทียบง่ายๆ​ เวลาท่านรับนักบัญชี​ สถาปนิก​ วิศวกร​ เข้ามาทำงานที่กิจการท่าน​ เขาเรียน 4 ปี​อย่างน้อย​ ทำไมท่านไม่ดูประวัติเขาสองปีในการรับคนเข้าทำงานหล่ะครับ​ ทำไมท่านไม่ลดราคาลงมา​ ยอมรับกำไรต่อยูนิตที่ลดลง​ เพราะถ้าราคามันลดลง​ ยอดเงินกู้ก็ลดลง​ ยอดผ่อนก็ลดลง​ ลูกค้าที่มีกำลังผ่อนก็มากขึ้นหรือไม่​ หรือวิธีคิดของผู้บริหารมืออาชีพคือ​ ได้เอา​ เสียไม่เอา​ เถียงแพ้ในเวที​ ก็มาออกสื่อขอนักการเมืองครับ
ผู้เขียนขอใช้พื้นที่สื่อ​ สนทนาธรรมกับท่านผู้บริหารมืออาชีพอีกครั้งนะครับ​ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งกระทบจิต​ สะเทือนใจก็ต้องขออภัยมา​ ณ​ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

เรื่องน่าอ่าน