ฟัง คิด อ่าน ถาม เขียน เรียงลำดับให้ดีในโลกที่ไปไวกว่ าแสง
ในโลกใบนี้ ใบที่กำลังมีปัญหาเจ็บป่วยด้ านสภาพแวดล้อม จนมีอาการรวน และแสดงออกถึงว่าไม่พอใจต่ อการกระทำของบรรดามนุษย์ทุ กชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ด้วยรูปแบบที่เรียกว่าภั ยทางธรรมชาติ โลกระบาด เป็นต้น ความทุกข์ยากหลากหลายของเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงมาจากสิ่งที่เราได้ กระทำลงไปต่อส่วนรวมทั้ งทางตรงทางอ้อมมานานหลายสิบปี คำถามคือมนุษย์มีแรงจูงใจ อะไร คำตอบคือความพยายามที่จะทำให้ ตนเองที่เป็นปัจเจกบุคคล ครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง กิจการ สังคม และประเทศชาติอยู่ในสภาพที่เรี ยกว่า อยู่ดีกินดี อยู่ดีมีสุข นั่งเอง
บทความวันนี้ของผมเริ่ มจากความต้องการจากสิ่งไกลตัวที่ บรรยายเบื้องต้น ลงมาสู่ความเป็นจริงของสั งคมเราวันนี้ว่า
1.มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม ต้องมีสังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์ มีกิจกรรม มีการสื่อสารระหว่างกัน และมีความต้องการที่จะไปเกี่ ยวข้อง เกี่ยวพันกับคนอื่น
2.ชีวิตวันนี้ของคนมันอยู่ บนระบบดิจิทัล มันเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ไปบนระบบปฏิบัติการ ผ่านการประมวลผลของเครื่องจักร หรือบนเครื่องมือที่คิดสร้างกั นมา จนท้ายสุดก็ถ่ายทอดออกมาผ่านอุ ปกรณ์การสื่อสารในทางช่ องทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นกระบวนการตั้งแต่รับเข้ าจนส่งออกไปนั้น มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมี ความประณีต มีหลัก มีฐานคิด ก่อนที่ความคิดของใครคนหนึ่ งจะพุ่งออกไปสู่คนอื่น ๆในสังคมผ่านปลายนิ้ว…
อากัปกิริยาของการอ่านไม่สุด ฟังไม่จบ ไม่ผ่านการคิด แล้วก็พุ่งผลงานออกไปในวันนี้ ในแทบทุกระดับอายุ ดูจะเป็นปัญหาที่สร้างความไม่พึ งพอใจระหว่างกัน แน่นอนว่าบางท่านจะบอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของความเห็ นต่าง บางท่านก็บอกว่าเป็นเรื่ องความขัดแย้ง บางท่านก็ว่าเป็นเรื่ องการแสดงออกของปัญญาที่ไม่เท่ ากัน บางท่านก็เลยเถิดไปว่ามันคื อการทิ่มทำลายกัน การด่าทอกัน การกดดันกันให้ทำตามแบบที่ต้ องการ มันไม่ใช่หรือมันไม่น่าจะเป็ นการสนทนาของปัญญาชนที่มนุษย์ ควรกระทำต่อมนุษย์ ดังนั้นในตัวของผู้เขียนจึ งอยากขอลองเสนอขั้นตอนว่าเมื่ อเวลาจะส่งสารหรือสาระใด ๆ จากสิ่งที่เราต้องการให้คนอื่ นรับรู้นั้นเราควรจะลงมือทำกั นอย่างไร ขั้นตอนของการ ฟัง คิด อ่าน ถาม เขียน น่าจะเป็นตามนี้หรือไม่ ตัวอย่างเช่นการออกมาใส่กั นแบบไร้ความปราณีในเรื่องเห็ นตรง-เห็นต่างของการกล่าวถึง สินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีอาการเดือดกันในช่วงเวลาที่ ผ่านมา
1. เวลาที่ตัวเรารับฟัง เรารับฟังแต่สิ่งที่เราตัดสิ นใจแล้วว่าใช่ หรือเราฟังเพื่อรับมาเป็นข้อมู ลดิบ เราฟังจากใคร คนนั้นเราคิดว่ารู้จริง อ้างอิงได้ ไอ้ที่บอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้ นเคยทราบมาหรือไม่ว่าตัวจริงตั วปลอม การฟังความรอบข้าง ฟังอย่างมีสมาธิ ไม่เชื่อทันทีที่รับฟัง แต่ต้องฟังให้จบสิ้น ตั้งแต่ยอดถึงราก ฟังให้ชัดเจนว่าที่กำลังฟังนี้ แก่นของเรื่องมันคืออะไร
2. คิดด้วยสติปัญญาของตนเอง การคิดโดยนำคำตอบของคนอื่นมาเลี ยนแบบแล้วบอกว่าเป็นความคิ ดของตนมันใช่หรือ ต้องคิดให้ครบทุกมุมหรือไม่ ทั้งมุมที่เราไม่เชื่อและมุมที่ เรามีแนวโน้มว่าจะเชื่อ คิดให้ออกว่ามันมีเหตุปัจจัย ใดถึงได้ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้ นมา
3. อ่านครับ ต้องอ่าน อ่านจากสิ่งต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอออกมา เวลาอ่านสิ่งใดให้อ่านโดยละเอี ยด อ่านหนังสือก็ต้องเริ่มจากบทนำ บทสรุปของผู้บริหาร คำนำ ที่มาของเรื่อง หลักการและเหตุผล สารบัญหัวข้อ… เป็นต้น จนกว่าจะจบสิ้นในเรื่องมีการกล่ าวอ้างกันไว้ การอ่านแบบกระหาย ใคร่อยากจะรู้ว่า ใคร ทำอะไร กับใคร ทำกันที่ไหน ทำกันอย่างไร ด้วยเหตุใด และผลออกมาเป็นอย่างไร เพื่อจบความใคร่รู้ที่ว่า ทำไมมันจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น น่าจะเป็นกรอบแนวคิดแนวทางได้บ้ างนะครับ
4. ถามครับ เมื่อจบการอ่านแล้วต้องตั้ งคำถาม ถามเพื่อให้หายสงสัยในจุดที่ ควรสงสัย จุดที่เห็นด้วย จุดที่เห็นต่าง ลองเอาใจคนอ่านไปเป็นใจคนเขี ยนแล้วตั้งคำถามสิครับว่า คนเขียนเขาอยากให้คนอ่านเข้ าใจว่าอย่างไร แล้วสิ่งที่คนเขียน หรือคนทำสิ่งนั้นเขาต้องการให้ เราคิดเหมือนเขา ชอบเหมือนเขา จะได้ทำเหมือนเขานั้นมันใช่หรื อไม่ มันถูกต้องเหมาะควรแล้วหรือไม่
5. เขียน ขั้นตอนสุดท้ายนี้สำคัญที่สุ ดครับ จะเขียนสิ่งใดเพื่อส่งออกไปยั งใคร ด้วยความต้องการอะไร ต้องชัดเจนเป็นเหตุเป็นผลก่อนที่ จะกระทำการส่งออกไป ยิ่งเป็นการเขียนเพื่อบอกถึ งความคิด ความมุ่งหมาย บทสรุปในสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้ น ในแง่ของผู้เขียนมีจุดที่ต้ องเช็กตัวเองก่อนส่งออกไปดังนี้
5.1 เขียนส่งออกไปแล้วสังคมหรือคนรั บสารมันดีขึ้นหรือน่าจะแย่ลง
5.2 ให้นึกว่าถ้าเราเป็นคนรับสาร สาระอย่างที่เขียนส่งออกไป ถ้าเป็นใจคนรับคิดว่าเราจะรั บได้ไหมเวลาจะเขียนตำหนิใคร ถ้าเราลองเป็นคนรับคำตำหนินั้ นแล้วเรารับได้ ก็ค่อยลงมือทำดีไหม
5.3 สุดท้ายก่อนที่เราจะเขียนพร้ อมส่งออกไปนั้น ถามให้แน่ใจอีกครั้งว่า ถ้าไม่เขียน ถ้าไม่ส่งออกไป จะเป็นผลดีกว่าหรือไม่ ถ้าคิดได้ว่ามันดีกว่า ผู้เขียนอาจขอให้ เขียนในใจก็พอ ไม่ต้องส่งออก
สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ความเป็นอยู่ ความเป็นไปของเรื่องราวต่าง ๆ นั้น ไม่อาจขับเคลื่อนให้เดินไปข้ างหน้าด้วยคำด่าทอ
ท่านที่มีอำนาจอันสมมติมาจากตั วบทกฎหมาย ท่านก็ต้องฟังความรอบข้าง คิดให้กลม คิดให้ครบ อ่านครับอ่าน อ่านทุกสิ่งอย่างทั้งที่ชอบหรื อไม่ชอบ เมื่อมีคนเขียนมาถึงเรา เราก็ต้องอ่านครับ อ่านเอาเรื่องไม่ใช่อ่านมีเรื่ อง ไม่ใช่อ่านไปหาเรื่อง อันนั้นมันคือการลุแก่โทสะ ลุแก่อำนาจอันสมมติ ต่อมาคือถาม ต้องถามให้จบสิ้นสงสัยว่ามั นมากันอย่างไรจึงมาเป็นแบบนี้ ถามแบบว่าเรามาถึงกันตรงนี้ได้ อย่างไร สุดท้ายคือการเขียนเพื่อสื่ อออกไปว่าความมุ่งหมายเราคื ออะไรกันแน่ ตรงไหนที่เราเห็นว่าไปได้ ตรงไหนที่เราเห็นว่าหมิ่นเหม่ ตรงไหนที่เราจะไม่ยอมเด็ดขาด จุดที่ถือว่าจะไม่มีการต่อรองถ้ ายังเป็นตัวเรา ความคิดเรา มันอยู่ตรงไหน เอากันให้ชัดครับ
ท่านที่อยู่ภายใต้อำนาจตามตั วบทกฎหมายที่เสกสมมติกันมา ท่านก็ต้องมีสติ อะไรที่เห็นต่างก็ต้องมีเหตุผล ข้อมูลสนับสนุนว่าทำไมเห็นต่ าง แล้วเหตุใดคนที่มีอำนาจควรจะต้ องหันกลับมาคิดมาเชื่อแบบที่ฝั่ งตนเองคิดและเชื่อ ศิลปะของการผลักดันให้คนเห็นต่ างกลับมาเห็นตรงกับตนมันควรถู กนำมาใช้ใช่หรือไม่ การออกมาขว้างปาความหยาบคาย ดิบ เถื่อน เพื่อให้อีกฝั่งที่เราคิดว่ าเขาคิดไม่ตรงกับเราต้ องยอมทำตาม ยอมเงียบ เพื่อให้ฝั่งเราทำในสิ่งที่ เราคิดว่าดีนั้นมันจะถือว่าเป็ นชัยชนะของสังคมได้จริงหรือ
คำตอบสุดท้ายของกระบวนการทั้ งหมดที่กล่าวมา ถ้าคนที่ยืนสองฟากฝั่งต่างเริ่ มด้วยการร่วมทุกร่วมสุขด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายต่างโปร่งใสในการให้ อีกฝ่ายสอบยันได้ตลอด สิ่งที่ได้แม้จะเห็นตรงบ้าง ต่างบ้าง ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายกันด้ วยการเขียนที่ด่าทอกัน อย่าลืมว่าภาษาที่เราเขียน มันคือภาษาของคนในชาติเดียวกัน ชาติอื่นเขาไม่มาอ่ านภาษาของคนในชาติเรา ในทุกเรื่องราวของการสื่ อสารบนโลกดิจิทัลที่มี กระบวนการ ฟัง คิด อ่าน ถาม เขียนที่ขาดวิ่น แล้วก็สาดกันไปมา มันคือการร้องด่าทอกันของคนไทย เพื่อให้ใครฟังกันหรือถ้าไม่ใช่ คนไทยด้วยกันเอง เรื่องพวกนี้มันยกระดับขี ดความสามารถในการแข่ งของประเทศตรงไหน มันก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ตรงไหน มันก่อให้เกิดสังคมที่มีนวั ตกรรมตรงไหน และมันทำให้คนหมู่ มากของประเทศอยู่ดีมีสุขกั นตรงไหน…
ขอบคุณที่ติดตามครับ