ใกล้ถึงวันคนกรุงเลือกตั้งผู้สมัครเข้ามาเป็นผู้ดูแล รับใช้ชาวประชาในตำแหน่ง “เจ้าเมือง”
ในวันที่ผู้เขียนกำลังนั่งฟังเสียงฝนตกพรำ ๆ หลังจากอากาศนั้นอบอ้าวเป็นเวลากว่า 2 วันแล้ว และต่อมาในขณะมี่ผู้เขียนกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่ในร้านอาหาร ก็พลันได้ยินเสียงรถยนต์ติดป้ายหาเสียง วิ่งผ่านมาช้า ๆ พร้อมกับมีการส่งเสียงผ่านลำโพงเครื่องเสียงเชิญชวนประชาชนไปลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครของพรรคการเมืองหนึ่งในการเสนอตัวเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร หรือถ้าเป็นภาษาโบราณก็จะเรียกว่า ตำแหน่งเจ้าเมือง นั่นเอง ด้วยเหตุที่ผู้ดำรงตำแหน่งนี้จะมีอำนาจบริหารจัดการงบประมาณกว่า 8-9 หมื่นล้านบาท ดูแลสภาพเศรษฐกิจ สังคม การจัดการเมืองของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย ประชากรที่มากมายมีทั้งประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้งกับประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงแต่ไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเช่นประชากรที่ทำงานในออฟฟิศกลางเมืองแต่ที่พักอาศัยอยู่ที่เมืองนนทบุรี เป็นต้น
เมื่อได้เข้าไปติดตามข่าวสารต่าง ๆ เพิ่มถึงตัวผู้สมัครลงแข่งขันในการคัดเลือกก็จะพบถึงความสามารถในการคิดค้นนโยบาย เพื่อมานำเสนอยังคนที่มีสิทธิลงคะแนน เราจึงได้เห็นนโยบายจำนวนหนึ่งที่ มันมีความใหม่ แปลก แต่มันจะทำได้หรือไม่กับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตำแหน่ง “เจ้าเมือง” กรุงเทพมหานคร (เมืองหลวง) เช่นถ้าบอกว่าจะทำสวนสาธารณะเพิ่ม ลอกท่อให้ยาวแบบนับเป็นกิโลเมตร จัดระเบียบการค้าขายบนทางเท้า อันนี้น่าจะทำได้ แต่พอบอกถึงการให้เงินเพิ่มแบบเฉพาะคนสูงวัยในเมืองแบบมีเงื่อนไข ให้ได้รับเงินเพิ่มมากกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง มันจะทำได้จริง ๆ หรือ หรือการแก้ปัญหาจราจร มันจะทำได้หรือเพราะอำนาจมันกระจายไปยังหลายส่วน หลายหน่วยมากมาย ซึ่งเป็นอำนาจส่วนกลาง หรือการแก้ไขปัญหาฝนตกน้ำท่วม มีน้ำรอระบาย แต่กุญแจเปิดประตูน้ำหาย มันจะทำกันอย่างไร หรือปัญหาคาใจ คาปากที่บอกว่า อดีตยังไม่ได้ทำ ปัจจุบันก็ยังไม่ทำ แต่อนาคตได้คิดไว้ว่าจะทำต่อ คำถามคือ ก็รู้ว่ามันต้องเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว (ตอนมีอำนาจในตำแหน่งที่กำลังลงแข่ง) วันนี้จะมาบอกทำไมว่าจะขอทำในอนาคตถ้าตนเองได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร มันจึงมีความย้อนแย้งอยู่มากมายในคำที่สื่อสารออกมา
ความเป็นอยู่ที่ดีตามสภาพ ตามสมควร ตามที่งบประมาณจะได้จัดลงไปอย่างเพียงพอเหมาะสม ไม่ขาดหายไปในระหว่างทาง จึงเป็นคำตอบที่ใคร ๆ ในเมืองหลวงอยากได้ เขาอยากได้พอ ๆ กับเมืองหลวงของต่างประเทศ เวลาที่เขาได้มีโอกาสไปดูบ้านอื่นเมืองอื่น (ยามเดินทางท่องเที่ยว)
เราได้เห็นสื่อมวลชนออกรูปแบบรายการใหม่ ๆ ให้ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งมาประชัน มาแข่งขันในการตอบคำถาม มีการตั้งตัวผู้ถามแบบคนรู้เรื่อง รู้จริงในประเด็นนั้น ๆ ได้มาถามกันแบบดุเดือด ไม่มีการเกรงใจไว้หน้ากันออกทีวีกันเลย บางคำถามผู้เขียนต้องยอมรับว่าโหดมาก และแน่นอนว่าการตอบของผู้สมัครนั้นมันพร้อมจะออกมาเป็นคะแนนบวก คะแนนลบแบบถึงพริกถึงขิงกันชัดเจน
เมื่อผู้เขียนได้เห็น ได้อ่าน ใน Facebook ของท่านหนึ่งที่โพสต์ขึ้นมาในลักษณะ คำคม ปรัชญา บทกวี หรือวรรณกรรมของจีนแล้ว จึงใคร่ขอนำมาเรียนไว้ให้เข้ากับยุคสมัยกาลเวลาที่กำลังจะถึงวันเลือกตั้ง เจ้าเมือง เมืองหลวง เมืองที่มีฉายาว่าเป็นเมืองที่เทพสร้าง เทพสถิต และเมืองที่มีความแตกต่างหลากหลาย เหลื่อมล้ำกันอย่างสุด ๆ ดังนี้คือ
เมื่อให้เกียรติ ผู้คนจะไม่ดูแคลน
เมื่อใจกว้าง จะได้ใจมวลชน
เมื่อจริงใจ ผู้คนจะเชื่อถือ
เมื่อมุ่งมั่น จะมีผลงาน
เมื่อเมตตา จะบอกคนได้
บุคคลที่ควรค่าต่อการเคารพ จะสนใจความยุติธรรม คนที่ใจคับแคบจะสนใจลาภ ยศ สักการะ
ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร ให้สนใจว่าเรามีคุณค่าควรต่อการนับถือหรือไม่
ไม่ควรกังวลกับสิ่งภายนอกมากเกินไป แต่ควรกังวลหาก
ไม่ปลูกฝังคุณธรรม
ไม่ใฝ่หาความรู้
ไม่เป็นกลาง
ไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีให้เป็นสิ่งที่ดี
อย่ามัวแต่มองคนอื่นอย่างเดียว จงมองตนเองตลอดเวลา ถ้าไม่พูดกับคนที่ควรพูด เราจะเสียคน ๆ นั้นไป ถ้าพูดกับคนที่ไม่ควรพูด เาจะเสียคำพูดไป คนฉลาดจะไม่เสียทั้งคน และคำพูด… “ขงจื้อ”
คุณสมบัติที่ว่ามาข้างต้น จะมีผู้สมัครรายใดหนอที่จะมีได้อย่างข้างต้น ไม่ต้องทั้งหมด ได้บางข้อ และทำได้จริงบางข้อแล้วล่ะก็ เรามนุษย์เดินดินจะได้มีฟุตพาทเรียบ ๆ เดินได้บ้าง ไม่ต้องมีน้ำรอระบายทุกครั้งที่ฝนตก ไม่ต้องทนเห็นการตัดแต่งต้นไม้ที่ไร้สติในการตัด และมีสวนสาธารณะมากพอแก่การพักผ่อน ออกกำลังกายใกล้ ๆ บ้าน คำขวัญหาเสียงที่คนกรุงอยากได้และทำได้จริงคือ น้ำไหล ไฟสว่าง ทางเรียบดี ที่ไม่โกงกิน ก็พอแล้ว เอาแบบพื้น ๆ ก็พอครับ
ขอขอบคุณที่ติดตาม