เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : กระแสการแชร์ข่าว (มั่ว)​ การ์ดต้องไม่ตก​ การลงทะเบียนหมอพร้อม​ ในช่วง​ WFH : วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 :

กระแสการแชร์ข่าว (มั่ว)​ การ์ดต้องไม่ตก​ การลงทะเบียนหมอพร้อม​ ในช่วง​ WFH

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา​ ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านจะได้เจอปรากฏ​การณ์แบบเดียวกับผู้เขียนหรือไม่​ เมื่อได้ยกเอาโทรศัพท์​เคลื่อนที่​ (มือถือ) ขึ้นมาอ่านข้อความ​ ซึ่งหากเราจะได้เจริญสติและพิจารณาข้อความต่าง ๆ แล้ว​ เราจะพบว่า​
1.มีผู้ตั้งตนเป็นกูรูกูรู้​ มากมายพร้อมคำแนะนำ​ ซึ่งมีทั้งมาขอโทษที่เผยแพร่ในเวลาต่อมาและท่านที่ไม่รู้ที่มาที่ไป​ ออกมาบอกเล่าเก้าสิบ​ หลากหลายไปหมด​ จนบางครั้งผู้เขียนคิดว่า​ หากมีคนส่งต่อข้อความมาก ๆ ว่า​ ผักตบชวาในแม่น้ำมีคุณค่า​ป้องกันไวรัสได้​ จะมีใครไหมหนอที่จะไปลากเอาขึ้นมาต้มกิน​ ความกลัวผสมกับความที่ไม่คิดถึงเหตุและผล​ อาจทำให้ปัญหาผักตบชวาที่มีกับแม่น้ำลำคลองสกปรกเราหมดไปก็ได้หรือไม่​

2.เรื่องที่ยากที่สุด คือ การรักษาระยะห่าง 2 เมตร ก็เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมเพราะตัวเราอยากเจอมนุษย์คนอื่นอยู่ตลอดเวลามนุษย์​อย่างเรา​ ตัวท่าน​ ตัวผมต้องยอมรับว่า ไม่สามารถจะกักกันตนเอง และการปิดเมืองไปได้นานกว่านี้แล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจอย่างเดียวที่ยกขึ้นมา แต่เป็นเพราะสภาวะทางจิตใจ​ ความทุกข์​ใจที่ไม่ได้เจอใครอย่างที่ใจเราต้องการต่างหาก​ มนุษย์​เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใฝ่หาเสรีภาพ​ แต่รุกรานสิ่งมีชีวิตอื่นตลอดเวลา​

แม้คุณหมอที่รู้จริงจะบอกว่าการใส่หน้ากากอนามัย​ หน้ากากผ้า​ หรือแม้แต่หน้ากากผ้าทับบนหน้ากากอนามัย พร้อมกับการรักษาระยะห่าง 2 เมตรขึ้นไป บวกกับการรักษาความสะอาดของมือผ่านการใช้แอลกอฮอล์​หรือสบู่ จะช่วยให้เราปลอดภัยจากโควิดได้ 100% แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ก็แทบจะไม่อยากจะทำตามขั้นตอนแนะนำเหล่านี้แล้ว เพราะทำมานานเกินปี จนเกินจะทนในความคิดความเป็นไปของใครบางคน​ ยิ่งไปตกกับพวกบุญมาวาสนาส่ง​ คิดว่าตนเป็นอภิมนุษย์​ มีอำนาจบารมีมากกว่าคนอื่น​ จักสุขสำราญเยี่ยงใดก็ได้​ กิจกรรมชอบกิน ชอบเที่ยว​ มันเลยสร้างผลกระทบที่รุนแรงให้กับคนที่เขามีวินัยและต้องทนทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบมาเป็นเวลานานนับปีเข้าไปเต็มเปา​ ขออัญเชิญเจ้ากรรมนายเวรจงมาเสวยกรรมเพื่อส่งผลให้อภิมนุษย์​เหล่านั้นให้ได้รับผลกรรมในสิ่งที่ทำลงไปด้วยเถิด​ หลับอย่าได้ตื่น​ ฟื้นอย่าได้สุข​ ทุกข์อย่าได้หมด​ หดในทรัพย์สิน​ เงินทอง​ อำนาจวาสนา…

3.วัคซีนที่ใช้กันทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ทุกท่านที่เจริญด้วยสติ​ ใช้ปัญญาผ่านสมองในศีรษะก็ทราบดีว่า​ วัคซีนเหล่านั้นล้วนได้รับการอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินทั้งนั้น​ นั่นหมายความว่า “มันไม่มีเวลาเพียงพอที่จะวิเคราะห์วิจัยถึงความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้กันอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะใช้ความพยายาม ความรู้ และทรัพยากรที่ดีที่สุดจากนักวิทยาศาสตร์​ก็ตาม​ เต็มที่คือการทดลองในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นมนุษ​ย์จำนวนหนึ่ง​ ในระยะเวลาหนึ่ง​ และยังอาจมีข้อจำกัดที่ไม่รู้จำนวนหนึ่ง​ ประเด็นสำคัญคือ​ ความจริงที่ว่า​ เรา ๆ ท่าน ๆ ทุกคนจะต้องคิดให้ได้ว่า “ในเวลานี้เราอยู่ในภาวะฉุกเฉินหรือไม่?​ วิธีป้องกันภัยยามฉุกเฉินเราคืออะไร​ ทางรอดที่ดีที่สุดของเราคืออะไร”

4.รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่ามาจากระบบแบบใด​ เมื่อมาเป็นผู้รับผิดชอบก็ต้องเจอโจทย์ว่า​ “ประชาชนในประเทศของตน อยู่ในภาวะฉุกเฉิน จึงหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนของตน” ความเสี่ยงบนความสมดุลที่ต้องวางลงไปว่า
(1)ระดับสภาพความฉุกเฉินประมาณไหน
(2)เครื่องมือคือวัคซีน​จะหามา ส่งต่อ​ ฉีดไป​ ให้ไวให้มากพอจะทำกันอย่างไร
(3)ผลข้างเคียง​ ผลกระทบ​ หากมีสิ่งไม่พึงประสงค์​ สิ่งที่ไม่มีใครต้องการ​ จะลดความรุนแรงมันได้อย่างไร​ จะไม่ให้มี มันทำไม่ได้​ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้มี​
เราอาจบอกได้ว่ากระทบ​ 2% แต่สำหรับคนที่โดนกระทบเต็มที่มันคือ​ 100% สำหรับชีวิตเขา​ ความยากมันอยู่ตรงนี้​ ใครไม่อยู่จุดนั้นคงไม่รู้​ การถู ๆ ไถ ๆ บนมือถือแล้วก็ส่งข้อความไปมันง่ายมาก​ ความคิดเห็นมันเยอะ ความไม่พอใจมันมาก​ ยิ่งความไม่พอใจ (แทน)​ คนที่ไม่ได้รู้จักยิ่งมากเพราะไม่ต้องรับผิดรับชอบ​อะไร​ โพสต์​ออกไปแล้วจะดูดี ได้แต่ความสะใจ​ อย่างมากถ้ามีเรื่องก็บอกว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์​ ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องความไม่รู้ที่หลงผิดพลาดไปในการส่งข้อความ คนไทยขี้สงสารเดี๋ยว​ก็จบ

เรื่องที่น่าสนใจคือ​ หลายเดือนก่อนตอนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันน้อยรายนั้น​ วัคซีน​จะมาไม่มาไม่มีประเด็น​ พอมีเหตุปะทุขึ้นมารอบสามแบบสงกรานต์​ไม่ได้สาดน้ำ​ ความตื่นตระหนก​ก็มาดุจดังความหิวโหย​ มีการพูดกันถึงขนาดว่า จะฉีดอะไรก็ฉีด​ น้ำเกลือ น้ำมนต์ก็ได้ถ้ามันป้องกันได้​ ไม่มีการสนใจว่ายี่ห้อไหน​ ทำจากจีนหรือไม่​ ใครเป็นเจ้าของกิจการบริษัทผู้ผลิตวัคซีน​ เอาเป็นว่ามีมาให้ฉีดได้บัดเดี๋ยว​นี้เป็นอันยุติ​ แต่ถ้าความหิวโหยนั้นเกิดมีทางเลือกขึ้นมาปั๊บ​ ความเป็นมนุษย์เรื่องเยอะก็เข้ามาทันที​ เป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ อธิบายได้ว่า​ เมื่อเรากำลังจะอดตาย เราอาจกินอะไรก็ได้ แต่หากมนุษย์​ที่หิวเหลือเกินนายนั้น เกิดมีทางเลือกขึ้นมา นายคนนี้ก็จะลืมความหิวสิ้น และเริ่มที่จะวิเคราะห์ว่าทางเลือกไหนมันจะดีกว่ากัน​ และจะส่งผ่านสิ่งที่ตนเองอยากจะเชื่อ (ว่าจริง)​ ไปให้คนรอบข้างเพื่อให้เกิดเสียงสะท้อนว่า​ ใช่ ๆ เรื่องจริง​ กลับมายืนยันสิ่งที่ตนเองส่งออกไป บางครั้งอาจเพราะจะสะกดจิตตัวเองให้เชื่อยังไม่แรงพอก็เป็นได้​ ไม่มีอะไรที่จะเติมเต็มความต้องการของมนุษย์เราได้ เพราะมนุษย์​นั้นมีความต้องการไม่สิ้นสุดจริงไหมครับ​

5.มีคำกล่าวว่า​ ถ้าเราคิดว่าเราไม่ได้อยู่ในภาวะฉุกเฉินอะไร จากการเม้าท์มอยกับเพื่อนในกลุ่มไลน์แล้ว เราก็แค่ไม่ไปฉีดวัคซีน​ ก็เท่านั้น… แต่เราก็ต้องรู้ว่าเรากำลังมีความเสี่ยงที่มากกว่าคนอื่น ๆ ที่เขาไปฉีดกัน​ใช่ไหม​ ไม่ว่าเรา “ต้องการ” จะได้รับวัคซีนหรือไม่ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราต้อง “เลือก” เองนี่จึงเป็น “ความจริง” เดียวที่ทุกคนควรต้องรู้ที่เหลือจากนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ตัวเราต้องชั่งน้ำหนักเอาเองว่าจะลงมือทำไปในทางไหน​ คำกล่าวนี้ทำให้ผู้เขียนไม่ลังเลใจในการลงทะเบียนหมอพร้อมเวอร์ชัน​ 2 โดยไม่สนใจความไร้สาระพวกที่แชร์หาเรื่องด่าคนทำงานว่าระบบล่ม​แล้ว​ (ก็ไม่ทราบว่าโพสต์​ไปแล้วจะเกิดประโยชน์พระแสงด้ามง้าวกับใคร)​ ซึ่งผู้เขียนก็ลงทะเบียนได้ในครั้งเดียว​ จากนั้นผู้เขียนก็เอาหน้ากากอนามัยมาใส่​ เอาหน้ากากผ้ามาสวมทับ​ เดินไปตลาด​ ซื้อของกิน​ ตอนสั่งก็พูดผ่านหน้ากาก​ ยืนสั่งอยู่ห่าง ๆ​ ก่อนรับของก็เอาแอลกอฮอล์​มาถูมือ​ รับของแล้วเดินกลับบ้าน​ มาถึงบ้านก็ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์​อีกครั้งก่อนลงมือทาน​ เวลาทานก็นั่งทานคนเดียวห่าง ๆ กับคนอื่น​ หมดแล้วก็นั่งทำงานต่อเพราะ​ WFH ​หมดเวลาทำงานก็เตรียมการออกกำลังกายต่ออีก​อย่างน้อย 40 นาที​ มันน่าเบื่อแต่มันต้องทำ​ เหตุ​เพราะเราอยู่ในสถานการณ์​ฉุกเฉิน​ตัวเราไม่ใช่อภิมนุษย์​ ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตที่เวลาทานอาหารต้องมีดนตรีและนารีมานั่งขับกล่อมให้เกิดความเสี่ยงกับเวรและกรรมตามทันที่ผู้คนสาปแช่ง

ขอบคุณ​ครับที่ติดตาม