เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : การเดินทางยังอีกยาวไกล : วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564

การเดินทางยังอีกยาวไกล

บรรยากาศ​ของสภาพการทำมาหากินของผู้คนและธุรกิจรายจิ๋ว​ รายเล็ก​ รายกลาง​ รายใหญ่​ ในช่วงที่จะพ้นหนึ่งไตรมาสของปี​ 2564​ ในอีกวันสองวันนี้​ คงจะทำให้ใครต่อใครใจชื้นขึ้นมาบ้าง ใครที่พอจับทางคนซื้อของได้​ มีรูปแบบธุรกิจตอบโจทย์​ ก็พอจะรอดปลอดภัย​ แต่ใครที่กู้เขามา ธุรกิจการค้าถูกรายใหญ่แย่งไปหรือขึ้นออนไลน์​ไม่ได้ก็จบ เห็นได้จากโครงการคนละครึ่ง​ พ่อค้าแม่ขายต่างปรับตัวได้ดีถึงดีมาก​ ผู้เขียนไปออกกำลังกาย​ที่สวนรถไฟ พบว่าแทบทุกร้านค้าสามารถให้บริการได้หมด​ หากเราลองนึกภาพ​ ต้มเลือดหมูกับข้าวสวย​ 60 บาท​ แต่จ่ายจริง​ 30 บาท​ มันทำให้คนซื้อคิดได้ง่าย ๆ ว่า​ มื้อนี้หนึ่งอิ่มเพียง​ 30 บาท​ แต่ในบางบรรยากาศก็พบว่าผู้คนรู้สึกเหมือนเพื่อนผู้เขียนดังนี้​ 

เราขอคิดแบบบ้าน ๆ นะ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนอกจากเงินมันฝืด ๆ กำลังซื้อน้อยลงแล้ว อาจเกิดจากสินค้าประเภทอาหารการกินเพื่อประทังชีวิตแต่ละวัน แพงขึ้นมากหรือเปล่า​ ไม่แน่ใจ … เราสังเกตจากตัวเอง และชุมชนรอบบ้านว่าเวลามาซื้อกับข้าวที่รถพุ่มพวงที่เข้ามาขายในชุมชนหมู่บ้าน​ เห็นได้ชัดว่าปริมาณการซื้อแต่ละสิ่งอย่างหรือ Portion การซื้อของพวกเขาลดลง เกือบครึ่ง มา 2-3 ปีแล้วนะ พอมีโควิด-19 มาซ้ำเติมไปอีกก็เห็นได้ชัดว่า​ เงินที่กำมาซื้อของมันน้อยลง

เพื่อนผู้เขียนอีกท่านที่เป็นนักธุรกิจซื้อขายรถมือสองแบบบริหารจัดการมืออาชีพ​ ได้ให้ความเห็นว่า​ เศรษฐกิจ​ไทยฟื้นช้าเพราะ (1) ที่ผ่านมาไทยเราพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป​ เพราะ (2) อำนาจซื้อถดถอยอย่างรุนแรงแม้จะมีกลุ่มที่ซื้อได้แต่ก็ขาดแรงจูงใจกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าคงทน เช่น บ้านและรถยนต์ ทรัพย์สิน​มูลค่าสูง การซื้อต้องใช้การกู้​ยืมสถาบัน​การเงิน​ ซึ่งมีความเข้มงวดในการพิจารณา​มากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก​ (3) กลุ่มเปราะบางได้รับการช่วยเหลือในการบริโภคสิ่งจำเป็นแบบลดต้นทุนการใช้ชีวิตประจำวันแต่ด้วยการจ้างงานมันไม่แน่นอนก็ทำให้ขาดกำลังซื้อสินค้าคงทน​ สินค้ากึ่งคงทนอื่น ๆ เพราะต้องขอสินเชื่อมาซื้อซึ่งคนที่กู้ผ่านมีจำนวน​น้อยมากๆ​ (4) มาตรการสร้างแรงจูงใจบวกกระตุ้นจากภาครัฐด้วยวิธีการต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องถูกงัดขึ้นมาดำเนินต่อไปเพื่อให้เศรษฐกิจไทย สามารถเติบโตตามศักยภาพได้ (Potential Growth) ตามเป้าหมาย​ 4% ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยยังสอบไม่ผ่านการเติบโตระดับนี้แม้จะต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ยังดีกว่าไม่ใช้มาตรการกระตุ้นใด ๆ เลย ปล่อยตามธรรมชาติ​ ดังนั้นความเห็นผม (เพื่อนผู้เขียน)​ ก็ยังเชื่อว่าต้อง “กระตุ้นบวกสร้างภูมิคุ้มกัน” ไปพร้อม ๆ กันครับ

อีกท่านที่เป็นเพื่อนผู้เขียนก็บอกว่าถ้าเราหลับตา​ ให้ถือว่าปิดประตูความหวังรายได้จากการท่องเที่ยวไปก่อน แล้วพยายามคิดใหม่ในหนทางที่จะเดินไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศก็ยังมองไม่เห็นภาพอะไรที่ชัดเจนเลย คนรุ่นเรา (หมายถึงคนอายุเกิน​ 50 ปีตามวัยของผู้เขียน) อาจไม่ลำบากที่สุดเพราะสร้างมาบ้างแล้วในบางกลุ่มบางคน แต่คนในรุ่นต่อไปลำบากแน่​ (ตรงนี้ผู้เขียนมีทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วยนะครับ​ ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่สมองไว​ เห็นทางออกในทุกปัญหาก็น่าจะเป็นพวกที่แบงก์​ชอบ​ แต่ถ้าไปพบคนรุ่นต่อไปแบบเห็นปัญหาใน

ลากเรื่องออกมาไกลกว่าเรื่องเศรษฐกิจไ​ทยแต่เป็นเรื่องสังคมไทย​ ก็ยังมีเรื่องไม่ลงตัวอีก​ มีความพยายามพูดคุยกันบนพื้นที่แห่งความปลอดภัยที่ปราศจาก​พวกฉัน พวกเธอ​ มีแต่พวกเรา​ มีข้อความจากคุณหมอท่านหนึ่งที่เป็นคุณหมอความคิดก้าวหน้าของสังคมไทยได้กล่าวไว้น่าฟังดังนี้​ 

อนาคต อาจจะแย่กว่า อดีต ก็ได้นะครับ

อย่าลืมว่าเรามีเรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ​หรือ climate change และ biodiversity loss… ความเสียหายจากการสูญเสียความหลากหลายทางพืชพันธุ์​ ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว… แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะให้ความสำคัญหรือตื่นตัวกับเรื่องนี้มากนัก เพราะคงคิดว่าไกลตัวประกอบกับประเทศไทยมีสัดส่วนของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้อยกว่าประเทศใหญ่ ๆ 

แต่การแย่งชิงทรัพยากร​หรือ resource competition อาจจะสร้างความเกลียดชังได้นะครับ โดยผ่านการมองว่าอีกฝ่ายมาแย่งของเรา เลยเป็นศัตรู… ดูง่าย ๆ  น้ำในแม่น้ำก็เริ่มแย่งกัน นี่ขนาดโลกยังมีน้ำแข็งให้ละลายบนภูเขา หรืออีกหน่อยอาจจะลามไปถึงทะเลส่วนที่มีปลา​ ที่นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ว่าจะมีการอพยพมากขึ้นด้วย… ผู้คนอาจจะมองเป็นเหมือนการบุกรุกอีกแบบหรือเปล่า พอคนอพยพมาร่วมใช้ทรัพยากร​ไม่มากก็คงพอช่วย ๆ กันได้ แต่ถ้าทะลักมาจำนวนมาก (ผู้เขียน​ : แบบหนีสงครามกลางเมืองมา) ​ก็คงแย่งทรัพยากรกัน เราอาจจะต้องมีแผนล่วงหน้ากันหรือไม่

สุดท้าย​ ผมขอนำข่าวที่คุณบัณฑูร ล่ำซำ​ ได้กล่าวต่อสื่อมวลชนไว้น่าสนใจ​หลังทางการออกมาตรการวันที่​ 23​ มีนาคม​ 2564​ เกี่ยวกับ ​Soft ​loan และมาตรการโกงดังพักหนี้ ดังนี้​ “ถ้าเศรษฐกิจไม่หมุน คนไม่เดินทาง ไม่ใช้จ่าย นักท่องเที่ยวมาไม่ได้ อะไรก็ยืนไม่อยู่ การพักก็ต้องเป็นการพักชั่วคราว ตอนนี้แบงก์ก็ต้องแบกทั้งนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งแบกไม่ได้ แบกได้ขั้นหนึ่ง เพราะในที่สุดแล้วน้ำต้องมา ถ้าน้ำไม่มา ก็ไม่มีสูตรอะไรที่แก้ปัญหาได้ ก็หวังว่าจะค่อย ๆ มา”

ตอนนี้ทุกส่วนก็หวังว่าการมีวัคซีนฉีดกระจายให้ทั่วถึงประชาชนในทั่วโลก จะทำให้เดินทางกันได้ปกติอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อประเทศไทยมาก เพราะพึ่งพารายได้จากการเดินทางมาท่องเที่ยวของต่างประเทศ ส่วนจะส่งผลให้เป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2564 น่าจะไปในทิศทางที่เป็นบวก แต่จะบวกได้แค่ไหนอยู่ที่จังหวะของการฟื้นกระแสของการท่องเที่ยวและการจัดการของภาครัฐ

การเดินทางจากปลายปี​ 2562​ จากข่าวร้ายเมืองอู่ฮั่น​ มาจนวันนี้จะสิ้นไตรมาสหนึ่งปี 2564 เรา ๆ ท่าน ๆ ต้องนับก้าวกันต่อไปแบบใส่หน้ากากเดินทีละก้าว​ กินข้าวที่ละคำ นำตัวเองไปด้วยความไม่ประมาท​