มองการเปลี่ยนแปลงจากการลุกมาปรับตัวของธนาคารสู่การปรับตัวของผู้คนและสังคม
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวใหญ่ในโลกธุรกิจไทยที่ดังไปกว่าการลุกขึ้นมาแถลงถึงแผนการเดินทางของธนาคารยักษ์ใหญ่ ที่ระบุถึงตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในระยะต่อไปที่โลกจะไม่เหมือนเดิม การทำธุรกิจจะไม่เหมือนเดิม การใช้ชีวิตผู้คนหลังโรคห่ากินปอดที่จะไม่เหมือนเดิม
มีการตั้งประเด็นเยอะมากเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อค้นหาคำตอบในการทำมาหากินในยุคต่อไปหลังโควิด-19 เช่น
จาก Fiat money to fiat money จะทำได้แค่ไหน จะสร้างผลตอบแทนได้ระดับใด
จาก Fiat money to digital asset หรือในทางกลับกันจะทำได้กี่มากน้อย จะคร่อมยุคโลกความเป็นจริงกับโลกเสมือนจริงได้ประมาณไหน
จาก Digital asset to digital asset ที่รวมไปถึง digital currency จะสร้างบ่อของผลตอบแทนให้ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือจะทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำมันยิ่งถ่างออกไปอีก
จากระบบการเงินมีตัวกลางสู่ระบบที่ไม่มีตัวกลาง ซึ่งเชื่อในสิทธิและเสรีภาพในการเข้าทำรายการของบุคคลโดยไม่ต้องมีรัฐหรือผู้กำกับดูแลเข้ามาเกี่ยวข้อง การปฏิเสธบทบาทของคุณพ่อคุณแม่รู้ดี แต่อาจไม่รู้จริง แถมไม่รู้เรื่องแล้วเข้ามาสร้างกติกาที่ทำให้บุคคลต่อบุคคลไม่มีเสรีภาพในการเข้าทำรายการ มีต้นทุนในการกำกับดูแลที่สูงเกินส่วน คำถามก็คือบทบาทของผู้เล่นที่ไม่มี dirty game กับบทบาทคนถือไม้เรียวขู่มันจะอยู่ตรงไหน หรือมันจะเข้ายุค “ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า” เราจะไปถึงยุคที่ ถ้าคุณทำอะไรคุณต้องรับความเสี่ยงเอาเองนะ (on your own risk) เพราะ “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล (ด้วยตนเอง) ก่อนการตัดสินใจ (อย่าโทษใครนะถ้าตัดสินใจผิด อย่าหาว่าใครโกงถ้าเราไม่ฉลาดแล้วขาดทุน)”
ใครคือคนที่จะต้องมีหน้าที่เข้ามาจัดการกับวิกฤติถ้ามันเกิดขึ้นจากรูปแบบการทำธุรกิจที่ข้ามสายพันธุ์ ข้ามอุตสาหกรรม ข้ามระบบคิดระบบปฏิบัติการ ข้ามโลกจริงและโลกเสมือนจริง เพราะกฎหมายมันตามทันได้หรือไม่ ยกตัวอย่าง ถ้าคนทำรายการไม่ใช่สถาบันการเงินในกำกับ ถ้าสิ่งที่เขาตกลงทำกันมันไม่ใช่เงินในความหมายตามคำนิยามของกฎหมาย มันคือสินทรัพย์ สินค้าคงคลัง ที่สร้างจากระบบที่เชื่อกัน (Trust system) ไม่มีใครตามได้ว่ามันมีมูลค่าเท่าใดกันแน่ ผลตอบแทนมันมาจากไหนจับต้องไม่ได้และยากต่อการอธิบายว่ามันทำงานกันอย่างไร ระบบการกำกับ ระบบกฎหมายที่คิดแบบ Silo ว่ากันตามใบอนุญาต ว่ากันตามบริการที่เสนอขาย ถ้าเกิดวิกฤติจริง ๆ น่าคิดนะครับว่าใครคือผู้บัญชาการเหตุการณ์ในเวลานั้น ทุกโอกาสย่อมมีวิกฤติซ่อนอยู่เสมอ เรื่องของหงส์ดำ แรดเทา ก็เป็นอะไรที่พร่ำบ่นมาตลอด
เรื่องสุดท้าย สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดแรงขึ้นทุกวัน ถ้าเราไปดูจำนวนประชากรอายุน้อยในหลายประเทศจะเพิ่มมากขึ้นกว่าประชากรอายุมาก พลังของเสียง จำนวนของผู้มีสิทธิออกเสียงจะกลับข้างกัน นโยบายแบบอนุรักษ์นิยมกับวิธีคิดแบบก้าวหน้า อัตตาของคนแต่ละรุ่นแต่ละวัยจะส่งผลต่อการออกแบบการจัดการรัฐที่แตกต่างหลากหลายกันอย่างไร ตัวอย่างเช่น สิทธิในร่างกายของบุคคลที่จะถูกนำมาสร้าง content เพื่อทำมาหากินกับความเชื่อในเรื่องความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีมันจะไปอยู่ตรงไหน ไปถามคนต่างวัยก็จะเกิดปรากฏการณ์กระแทกแดกดันระหว่างกันว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง vs คิดไม่ได้แล้วเหรอถึงทำเรื่องแบบนี้ เชื่อว่าในอนาคตคนในสังคมจะต้องมีการปะทะกันอีกหลาย ๆ ประเด็น การเลือกตั้งครั้งต่อไปเรา ๆ ท่าน ๆ คงจะได้เห็นอย่างแน่นอน
วันนี้ เวลานี้ การใช้ชีวิตที่ต้องอยู่กับไวรัสไม่มีสมองที่ทำให้มนุษย์มีสมองไปไม่เป็นมาสองปีแล้วคงจะสร้างความปั่นป่วน (Disrupt) จนกว่าจะเปลี่ยนผ่านความไม่ปกติแบบใหม่เป็นความไม่ปกติที่คุ้นชิน (New normal) ผู้เขียนได้คุยกับบรรดาลูก ๆ และเพื่อนวัยเด็กก็พบว่า
ความเครียดจากชีวิตยุคดิจิทัล คงไม่ได้เกิดมาจากความลำบากในการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาดหรือผิดหวังอย่างเดียว แต่เกิดจากการที่เรา ที่เขา เอาตัวเรา เข้าไปผสมกับงาน ผสมกับผลการสอบ กับผลการประเมิน กับเงินเดือน ผสมกับชีวิตหรือกับสิ่งต่าง ๆ รอบกาย
คนโบราณอย่างผู้เขียนจึงได้แต่คิด (ไม่กล้าพูดออกไป) ว่า พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา ละตัวตน + ลดอัตตา…ทำหน้าที่ = เพื่อหน้าที่…
ดูแลตัวเอง อย่าเป็นภาระบุตรหลาน
ดูแลบุตรหลาน อย่าเป็นภาระสังคม