สินเชื่อที่อยู่อาศัย ยังไงก็ต้องเป็นหัวรถจักร การลากจูงธุรกิจสินเชื่อเพื่ อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลจากการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่ อนว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการกำกับดู แลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงิ นให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกั น (LTV ratio) เป็น 100% กล่าวคือ ผู้ให้กู้จะสามารถให้กู้ได้เต็ มมูลค่าหลักประกันสำหรับสินเชื่ อเพื่อที่อยู่อาศัย รวมสินเชื่ออื่นนอกเหนือจากเพื่ อซื้อที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่ อาศัยนั้นเป็นหลักประกันหรือสิ นเชื่อ Top-up ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางได้ เคยออกมาตรการอย่างเข้มข้นในอดี ตในการให้กู้โดยไม่เต็มมูลค่ าหลักประกันเพื่อสกัดการเก็ งกำไร เมื่อปรากฏพบหลักฐานและข้อเท็ จจริงในเวลานั้นเกี่ยวกับสินเชื่ อมีเงินเหลือ มีเงินทอน เป็นต้น
แน่นอนว่าการผ่อนคลายครั้งนี้ จะให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้ งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ ายในการทำนโยบายเศรษฐกิจ คาดหวังว่าการเปิดประเทศ เปิดบ้านเปิดเมืองอีกครั้ง เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิ ดขึ้น เกิดได้อย่างระมัดระวัง อย่างน้อยจะมากลบหลุมรายได้ที่ คาดว่าจะหายไปกว่าแปดแสนล้ านบาทในปี 2565 จากที่คาดว่าได้หายไปแล้ว 1.8 ล้านล้านบาทในปี 2563 - 2564 ดังถ้อยคำที่อยู่ในการแถลงของผู้ บริหารระดับสูงจากธนาคารกลาง ใจความสำคัญมีอยู่ว่า
1. เศรษฐกิจไทยได้รั บผลกระทบจากสถานการณ์ การระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ แม้มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวได้ จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซี นและการผ่อนคลายมาตรการควบคุ มการระบาดโควิด-19 ทำให้เปิดประเทศได้เร็วกว่าคาด ในความเห็นผู้เขียนถือได้ว่าเป็ นการส่งสัญญาณในทางบวกว่า เศรษฐกิจเราเจอแรงกระแทกสูงแต่ ก็กลับมาในลู่วิ่งที่ควรจะเป็ นได้เร็วน่าพอใจ
2. แต่การฟื้นตัวยั งเปราะบางจากความไม่แน่นอนสู งและฐานะการเงินของบางภาคธุรกิ จและครัวเรือนที่ได้รั บผลกระทบหนัก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ ยว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ ในภาวะซบเซาจากอุปสงค์หรื อความต้องการที่อ่อนแอและภาคก่ อสร้างที่ได้รับผลจากการระบาด ธปท. ประเมินแล้วเห็นว่า เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิ จและพยุงการจ้างงาน (ผู้เขียน ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่ เกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องจะก่อให้ เกิดการจ้างงานค่อนข้างมาก มี value chain ที่ยาวและตอบโจทย์การกระตุ้ นเศรษฐกิจ) จึงควรเร่งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้ าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสั งหาริมทรัพย์ซึ่งมีธุรกิจเกี่ ยวเนื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ยังมี ฐานะการเงินเข้มแข็งเพื่อรองรั บการก่อหนี้เพิ่มได้ ในมุมของผู้เขียนก็เชื่อว่ าเวลานี้ มีบ้านและคอนโดพร้อมขายอยู่ จำนวนหนึ่ง และก็มีคนที่พร้อมจะซื้ อจำนวนหนึ่ง กลุ่มนี้มีเงินออม มีรายได้ดีพอควร คุณสมบัติผ่านเกณฑ์การประเมิ นสินเชื่อแน่ ๆ (เกณฑ์ Debt service ratio ความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการก่อหนี้) แต่ยังอาจลังเล ไม่ตัดสินใจ ประกอบกับโครงการต่าง ๆ ก็หยุดหรือชะลอการเปิดตั วมาระยะหนึ่งแล้ว การได้เงื่อนไขที่ค่อนข้างดีมาก ๆ ลดแหลกแจกแถม กับการได้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถู ก จึงก่อให้เกิดความเป็นไปได้ มากมายในการเข้าเป็นเจ้าของอสั งหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่จะถือเพื่อการลงทุ นในระยะยาวก็ยังคุ้มค่าเป็นอย่ างยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ ออกมาได้จังหวะมาก ๆ ไม่ต้องรอให้บรรดาแถวหน้า นักร้องภาคธุรกิจอสังหาริมทรั พย์ออกมาบอกว่าปรับเกณฑ์เรื่ อง LTV เมื่อมีประเด็นการกระตุ้ นเศรษฐกิจ
3. มาตรการ LTV ของเดิมที่กำกับดูแลเข้มข้ นกำหนดไว้ว่า หากเป็นบ้านหลังแรกมีมูลค่าไม่ เกิน 10 ล้านบาทจะปล่อยสินเชื่อ 100% ได้แต่ถ้าเกิน 10 ล้านบาทปล่อยไม่เกิน 90% ส่วนบ้านหลังที่ 2 ปล่อยสินเชื่อ 80-90% ขณะที่บ้านหลังที่ 3 ขึ้นไปจะปล่อยสินเชื่อ 70% ของมูลค่าหลักประกัน ทำให้ในส่วนที่เหลือ คนขอกู้จะต้องมีเงินดาวน์มาเติม ซึ่งในขณะนั้นการออกมาตรการมาก็ เพื่อลดความร้อนแรงของตลาดที่ อยู่อาศัยมีทั้งในเรื่องเงินทอน และเก็งกำไร เสี่ยงเกิดผลกระทบต่อระบบการเงิ นและเศรษฐกิจไทย กลับกันกับเวลานี้ที่ตลาดเงี ยบแบบเครื่องยนต์ดับ ไม่มีใครกล้าเก็งกำไร
4. เรื่องที่คาดกันต่อเนื่องก็คื อเมื่อมาตรการทางการเงินที่ ธปท. ออกมาจะเกิดแรงผลักดันที่สู งตามลักษณะจริตของคนขอกู้ ในประเทศเรานั้นก็ควรจะต้ องทำควบคู่กับมาตรการทางการคลัง ซึ่งก็เป็นที่คาดกันว่าในเวลานี้ กระทรวงการคลังน่าจะกำลังอยู่ ระหว่างพิจารณาต่ออายุ มาตรการภาษีอสังหาฯ ลดค่าธรรมเนี ยมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% หลังจะสิ้นสุดสิ้นปี 2564 ซึ่งถ้ามีการต่ออายุไปอีก 1 ปีจะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ มากเพิ่มขึ้น
สุดท้ายจากที่มีใครต่อใครประเมิ นเบื้องต้น มาตรการผ่อนคลายครั้งนี้น่าจะส่ งผลให้มีสินเชื่อบ้านเพิ่มเข้ าระบบ 50,000 ล้านบาท (ซึ่งก็จะไปเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ ครัวเรือนที่เพิ่มในปี 2565) และในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ก็คงจะทำให้มูลค่าการโอนกรรมสิ ทธิ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนั ยยะสำคัญพอสมควร
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ