เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : แท้ที่จริงจานมันแตกแล้วเหลือแต่เปิดประตู…ความจริงก็ปรากฏ : วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564

แท้ที่จริงจานมันแตกแล้วเหลือแต่เปิดประตู…ความจริงก็ปรากฏ

บทความวันนี้ผู้เขียนได้รับภาพจากการส่งต่อ ๆ กันมา​ เป็นภาพที่ทำให้ผู้เขียนต้องเพ่งดูหลายครั้ง​ เป็นภาพที่ต้องขอขอบคุณ​ท่านเจ้าของ​ Facebook ท่านหนึ่งที่สื่อออกมาได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ​ ผู้เขียนคิดว่าภาพนี้มองให้ลึกลงไปเชิงเปรียบเทียบใน​ 2 เรื่องที่ตรงกับสถานการณ์​ในวันนี้

  1. สถานการณ์​ที่เรากำลังเตรียมทุกสิ่งอย่างในการเปิดบ้านเปิดเมือง​ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงกับอดีตให้มากที่สุด​ เรา ๆ ท่าน ๆ ทนมานานเกือบจะ 2 ปีแล้ว​ ยิ่งนิสัยทำอะไรตามใจคือไทยแท้​ ทำไม่ได้ในเวลานี้ทั้งทางบวกทางลบ​ ไม่ว่าจะเป็นสุมหัวล้อมวงเหล้า เล่นการพนัน ดูละเม็งละคร ร้องรำทำเพลง อาบอบนวด ดูหนังฟังเพลง​ ชมมหรสพ รวมไปถึงรวมกลุ่มเข้าวัดปฏิบัติธรรม เวลานี้งานบวช​ งานศพ​ เงียบเหงากันไปหมด​ การโหยหาวันคืนเก่า ๆ ย่อมเป็นเรื่องปกติ​ ผู้เขียนดูจากมาตรการผ่อนคลายเวลานี้​ คนไปเดินห้าง​ ไปร้านอาหาร​ ไปสถานที่ท่องเที่ยว​ กันแบบรู้สึกเลยว่า​ ทนไม่ไหวกับการต้องล็อกตัวเองอยู่แต่บ้าน​ ทำงานที่บ้าน​ กิน 3 มื้อที่บ้าน​ อะไรแบบนี้​

ในฟากฝั่งคุณ​หมอท่านก็เตือน​ เตือน​ แล้วก็เตือน​ สงสารท่านอาจารย์​หมอมาก ๆ​ ท่านพูดปากจะฉีกถึงหูอยู่​แล้วว่า​ ให้ระวังตัว​ วัคซีน​กันเจ็บหนัก​ กันตาย​ แต่ไม่ได้กันติด​ ต้องรักษาระยะห่าง​ ต้องใส่หน้ากาก​ ล้างมือให้สะอาด​ สถานที่ทำงานต้องทดสอบด้วย​ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)​ เพื่อความมั่นใจเป็นระยะ​ สุดท้ายคือส่งสัญญาณ​ว่า​ ยอดผู้ติดเชื้อจะสูงขึ้น​ ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ระดับ​ 100-200 ท่านต่อวัน​ คนเจ็บหนัก​ คนใส่ท่อหายใจยังอยู่ในระดับสูงพอควร​ ผู้เขียนได้แต่กังวลว่า​ เวฟ 4 – 5​ ขออย่าได้มาเลยในช่วงเวลาอันใกล้นี้​ ปลายปี​ 2564​ จะได้เฉลิมฉลองกันแบบระวังกันได้บ้าง​ อย่าได้เป็นแบบปลายปี​ 2562 และ 2563 ที่เราเจออีกเลย​ เทียบกับภาพก็คือ​ คนติดเชื้อ​โควิด-19 แต่ไม่แสดงอาการ​ ไวรัสกลายพันธุ์​ตัวใหม่​ การปะทุจากคลัสเตอร์​ใหญ่เหมือนจานชามที่รอวันเปิดประตูตู้เก็บ…เราจะเห็นในไม่ช้าอย่างแน่นอน

 

  1. ภาพเดียวกันนี้สะท้อนในบทสนทนาที่น่าสนใจมาก​ มันมีการตั้งคำถามว่า​ ถ้าจานชามที่รอวันร่วงลงมาเมื่อเวลาเปิดประตูตู้เก็บคือบัญชีสินเชื่อ​ SME​s ที่กำลังสะบักสะบอม​ในเวลานี้​ กำลังเอาตัวรอดในเวลานี้​ โดยความจริงแล้วคือบางส่วนเป็น​ NPL ไปแล้ว​ แต่ด้วยมาตรการผ่อนผันผ่อนปรน​บนเงื่อนไขทางบัญชี​ ทางปฏิบัติ​ มันเลยยังไม่ถูกนับว่าเป็น​ เมื่อไหร่เปิดบานประตู​กลับไปมาตรฐานเดิมล่ะก็​ มันคงร่วงลงมาแบบหยิบจับไม่ทัน​ คำถามคือทางแก้​ ทางเตรียมตัว​ ทางที่จะลดผลกระทบให้จานชามแตกน้อยที่สุด​ หล่นไปจำนวนที่พอรับได้จะทำแบบไหนอย่างไร​ ก็มีคนออกมาให้ความเห็นเชิงแซะนิด ๆ ว่า​ที่ทำกันก็คือคิดทางแก้แบบวกไปเวียนมา ต้นทุนแพง​ น้อยเกินไป​ ช้าเกินไป​ ยังไม่โดนอะไรประมาณนั้น​ ข้อความที่แซะในเชิงเปรียบเทียบในการแก้ปัญหาจานชามไม่ให้เสียหายจากการเปิดตู้ท่านเขียนไว้ว่า​ “… รื้อหลังคาบ้านออกก่อน โหนสลิงลงมาแล้วเจาะเพดานบ้านชั้นสองลงมาชั้นล่าง หลังจากนั้น ทุบเพดานที่ติดกับห้องครัวออกให้หมดจนไปถึงตู้นี้ ค่อย ๆ เปิดแล้วเอื้อมมือไปหยิบชามนั้นออกมาจากตู้ครับ…”

อีกท่านหนึ่งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง​ของเมืองไทยในธุรกิจแนวหน้า​ ท่านให้ความเห็นไว้ว่า “…ชอบการเปรียบเทียบ แต่สงสัยว่า ทำไมไม่ทุบกระจกด้านที่ กระทบน้อยที่สุด แล้วประคับประคองจานที่กำลังจะล้มให้ ตั้งขึ้นมายืนได้ใหม่ มันมีกฎระเบียบหลายอย่างที่ควรจะรื้อทิ้งได้ในตอนนี้…”

ท่านสุดท้ายที่อยู่ในแวดวงการท่องเที่ยว​ ท่านตอบแบบปิด​ ตัดจบ​ดังนี้​ “… เขาคงไม่รื้อหลังคา เพดาน หรอกครับ เพราะคนคุมเรื่อง​ คุมกติกามารยาท เขาน่าจะคิดกันว่าปล่อยให้แตกคุ้มกว่า​ แต่ที่ยังไม่กล้าเปิดตู้ น่าจะเพราะเหตุผลบางประการ จานแต่ละใบนี่ SME ทั้งนั้นครับ

ผู้เขียน​ มองภาพนี้อีกครั้ง​ กราบขอบคุณท่านเจ้าของ​ FB ท่านที่เขียนเหนือภาพและแชร์​ภาพนี้นะครับ