เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : บทบาทของตัวเราและตัวเขาในความท้าทายกับเศรษฐกิจ​ปรวนแปร : วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564

บทบาทของตัวเราและตัวเขาในความท้าทายกับเศรษฐกิจ​ปรวนแปร​

มีคำกล่าวของผู้นำความคิดในสังคมไทยท่านหนึ่งที่ผู้เขียนให้ความเคารพนับถือ​เป็นอย่างมากได้กล่าวไว้ว่า​ “ประเทศจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาเพียงใดขึ้นกับคุณภาพของ ‘สถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจ’ หรือ “กลไกภาครัฐ” และ “กลไกตลาด” ได้รับใช้หรือดูแลประชาชนส่วนใหญ่เพียงใด และที่สำคัญ การพัฒนาจะยั่งยืนเพียงใดขึ้นกับว่า ระบบสถาบันทั้งสองด้านเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมแค่ไหน (Inclusive Institution)”

ตัวอย่างเช่น​ ถ้าเราเชื่อในกลไกตลาดสุดโต่งว่าบุคคลเวลาจะเข้าทำกิจกรรม​ทางเศรษฐกิจร่วมกันภายใต้กฎหมายโดยยึดหลักเพียงว่า​ บุคคลมีเสรีภาพในการเข้าทำสัญญา​ และเขามีเพียงความสามารถตามหลักที่กฎหมายกำหนดคือไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ​ โดยขาดคำนึงถึง​ อำนาจต่อรองที่ไม่เท่ากัน​ การมีข้อมูล​ไม่เท่ากัน​ การเข้าถึงหัวใจหรือแก่นสาระของเรื่องที่จะตกลงกันมันไม่เท่ากัน​ การขาดทรัพยากรใดแง่ความรู้เรื่อง​ รู้จริง​ เข้าใจถึงผลที่จะตามมาหากลงนามในสัญญาแล้ว​ ท่านผู้อ่านก็คงจะเชื่อตามที่ผู้เขียนได้ระบุต่อไปว่า​ ความเป็นธรรม​ ความเท่าเทียมในสิ่งที่จะได้รับดอกผลจากการเข้าทำสัญญาดังกล่าวคงจะเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง​ ในเรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าการทำสัญญาเงินกู้ระหว่างลูกหนี้รายย่อย​ SME​s กับฝั่งเจ้าหนี้คงจะไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะถือสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันแน่นอน​ ไม่อย่างนั้น​ หัวหอกของธนาคารกลางสายก้าวหน้าจึงไม่ลุกขึ้นมาผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่อง​ 

1.การคิดดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการชำระหนี้กรณีล่าช้า

2.ลำดับการตัดชำระหนี้จากที่เคยทำแบบแนวดิ่งคือ​ ตัดค่าธรรมเนียมก่อน​ ต่อด้วยดอกเบี้ย​ ตามด้วยเงินต้นเป็นลำดับสุดท้ายมาเป็น​ ตัดชำระหนี้ตามแนวขวางคือต้องเอาเงินที่รับชำระหนี้มากระจายตัดในสามส่วนนี้ทุกครั้ง​ ยอดหนี้จะได้ยุบลงมาบ้าง​ ดอกเบี้ยที่ตามมาจะได้น้อยลงตามลำดับ

3.เรื่องภาระผู้ค้ำประกัน​ ที่ต้องเข้ามาสอดรับความเสียหายในกรณีที่​ลูกหนี้ทำไม่ได้ตามสัญญา

4.หลักการให้กู้ที่ผู้ให้กู้ต้องมีความรับผิดชอบ​ ในประเด็นนี้ผู้เขียนประทับใจแนวคิดที่ว่า​ เจ้าหนี้เมื่อจะตัดสินใจให้ใครกู้ยืมแล้วต้องคิดให้ออก​ บอกให้ได้​ ทายให้ขาดว่า​ ชีวิตของลูกหนี้ต้องดีขึ้น​ เขาไม่ใช่ข้าทาสที่ต้องหาดอกมาจ่ายเท่านั้น​ แต่ตัวเขา​ ธุรกิจเขา​ ต้องไปต่อได้และดีขึ้น​ 

ในการดำรงตนให้เกิดความก้าวหน้าในประการใดก็ตามไม่ว่าจะเป็น​ วิธีการทำงาน​ วิถีในการคิดและผลักดัน​ ล้วนต้องมีข้อขัดข้อง​ ข้อขัดแย้ง​ สร้างความไม่สบายตัวไม่สบายใจให้เกิดกับระบบที่คุ้นชิน​ คุ้นเคยกับการไม่มอง​ ไม่พยายามมอง​ ไม่คิดจะมอง​ ไม่อยากคิดที่จะมอง​ ที่เลวร้ายสุดคือ​ รู้ว่ามองแล้วมันคือสิ่งที่ถูกแต่เลือกที่จะไม่มอง​ แถมทำลืมว่าไม่เคยคิดในเรื่องนี้อีก​ คำถามคือ​ พฤติกรรมของระบบแบบนี้มันมาจากอะไร​ วิสัยทัศน์​ ค่านิยม​ แก่นของใจที่อ่อนโยน​ เอื้ออาทรต่อคนที่ด้อยกว่าจึงได้ละทิ้ง​ แต่นำเอาสิ่งที่ผู้คนในยุคก่อนที่ได้วาง​ ทำและปูถนนทางเดินความคิดนั้นมาเป็นเกราะป้องกันตัวในการไม่คิดจะทำ​ เรียกว่าเอาบุญเก่ามาห่มกรรมใหม่ที่คิดจะทำในเวลาโรคห่ากินปอดคนทั้งเมืองเพลานี้…

ผมได้อ่านข้อความหนึ่งของผู้เขียนคนแปลท่านหนึ่งที่ชื่อ​ ขจรศักดิ์​ จากการแชร์ผ่าน​เฟซบุ๊ก​ที่ได้กล่าวคำคมข้อคิดของท่านผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา​ ซึ่งพูดถึงบุคคลต่าง ๆ ในท่ามกลางกระแสความแปรปรวน​ ยามศึกบ้านเมืองมีศึกสงครามในเวลาเฉกเช่นเวลานี้​ว่า 

“หากไร้ซึ่งความ “ซื่อสัตย์”…….

“ฉลาด” ก็จะทำร้ายตัวเองในที่สุด

“ความสุข” จะอยู่ได้ไม่จีรัง

“ตำแหน่ง” อยู่ท่ามกลางเสียงสาปแช่ง

“แข่งขัน” ก็จะเป็นได้แค่ผู้พ่ายแพ้

สุดท้ายแล้ว … มีแต่ความ “ซื่อสัตย์” เท่านั้น

ที่จะคงความเป็นอมตะนิรันดร์

บทบาทของตัวเราและตัวเขา​ เพื่อนของเรา​ พี่พ้องน้องพี่รอบตัวเรา​ ในความท้าทายกับเศรษฐกิจ​ปรวนแปร​ เราเลือกที่จะเป็นใคร​ แบบไหน​ ส่วนของผู้เขียน​ขอทำหน้าที่ซื่อสัตย์​ ใน​ core value ขององค์กร​ที่ผู้เขียนสังกัด​ ไม่มีทางใช้ความผฉลาดเพื่อเป็นเพียงผู้ชนะในการแข่งขัน​ของตำแหน่งแห่งที่ ที่อกุศลจิตนำพาไป

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ