เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “มอง P2P Lending แบบแชร์ดิจิทัล(มองแบบบ้านๆ)” วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2562

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2562

“มอง P2P Lending แบบแชร์ดิจิทัล(มองแบบบ้านๆ)”

โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/591637

เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ผู้เขียนได้เห็นความตื่นตัวในบรรดาผู้เล่นในระบบสถาบันการเงิน​ ซึ่งรวมไปถึงบรรดาผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่อาศัยเทคโนโลยีเป็นตัวนำหรือที่เรียกง่ายๆว่ากลุ่มฟินเทค​ (Fintech) หรือพวก​ Platform ที่กำลังจะเกิดขึ้น​ ข่าวออกมาดังนี้ครับ
… ผู้บริหารระดับสูงของ​ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการฟินเทคประมาณ 10 บริษัท สนใจทำธุรกิจระบบ หรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (P2P lending platform) หลังจากที่ ธปท.ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 30 เมษายน 2562…

เงื่อนไขสำคัญก็คือการเตรียมความพร้อมของบรรดาผู้สมัครที่คิดจะยื่นขอใบอนุญาต​ ที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการทดสอบ​ตัวอย่างเช่น
1.ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทั้งแบบเห็นหน้าและแบบที่ไม่ได้มาพบหน้ากันโดยตรงมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
2.ระบบการวิเคราะห์ตัวผู้ขอกู้ว่ามีความสามารถในการชำระหนี้​ มีความตั้งใจในการชำระหนี้​ การประเมินมูลค่าหลักประกัน(ถ้ามี)​
3.ระบบการบริหารลูกหนี้และระบบการติดตามลูกหนี้ตลอดช่วงสัญญาเงินกู้
4.ระบบการรับชำระและติดตามทวงถามหนี้ตลอดช่วงสัญญาเงินกู้

มองในมุมสถาบันการเงินในปัจจุบันที่มีความพร้อมที่จะลุยในธุรกิจนี้ก็ระบุว่า
ธนาคารสนใจจะทำธุรกิจ P2P lending platform ในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยลดต้นทุนการระดมเงิน จากปัจจุบันที่ต้องระดมเงินฝากมาปล่อยกู้ แต่หากทำ P2P lending platform จะเป็นการนำเงินคนอื่นที่อยากให้กู้มาปล่อยกู้โดยมีธนาคาร เป็น Platform ตัวกลาง เนื่องจาก ธนาคารมีระบบเก็บเงินรายเดือน ระบบบังคับจำนอง ส่วนการวิเคราะห์สินเชื่อก็ปกติ ธนาคารวิเคราะห์ให้ แล้วก็ประเมินหลักประกัน รับชำระหนี้เงินกู้ และติดตามหนี้ให้​ ซึ่งป้องกันปัญหาเรื่องการเรียกเก็บเงินและกรณีผิดนัดชำระหนี้ได้อยู่แล้ว

หากจะเปรียบเทียบเรื่อง​ P2P​ ที่เป็นนวัตกรรม​ทางการเงินในยุคดิจิทัลกับแชร์หรือการเล่นแชร์ในอดีตก็น่าจะอธิบายได้ไม่ยาก​ ท่านผู้อ่านลองคิดตามดังนี้
1.ตัวของคนกลางที่จับคนอยากได้เงินกู้กับคนที่อยากให้กู้มาเจอกันก็คือ​ Platform​ ในวันนี้หรือเท้าเเชร์ในอดีตคือทั้งคู่ต้องมีความน่าเชื่อถือ​ เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนพอสมควรระดับออกปากแล้วยากจะปฏิเสธได้
2.อัตราดอกเบี้ยคือตัวตัดสินใจระหว่างคนกู้กับคนให้กู้​ คนกลางคือ​ Deal maker ในอดีตจะเปียแชร์หรือประมูลดอกเบี้ยกันเท่าไหร่อาจต้องปรึกษากับเท้าแชร์นิดหน่อย
3.เท้าแชร์ได้ประโยชน์เป็นค่าธรรมเนียมในการ​ Matching ซึ่งก็เหมือนกับ​ P2P​ lending ที่บริหารโดย​ Platform และยังมีหน้าที่ไปตามเก็บเงินจากวงแชร์ไปส่งมอบให้กับคนที่เปียได้ และส่งดอกเบี้ยให้กับคนที่นำเงินมาให้กู้​
4.ถ้ามีรายการเบี้ยวหนี้​ เกิดหนีการจ่าย​ หรือลูกแชร์เป็นหนี้เสีย​ ผิดนัดชำระหนี้​ เท้าแชร์ก็อาจสอดรับเข้ามาชำระหนี้แทนแล้วไปตามไล่เบี้ยเอากับคนที่เบี้ยวหนี้​ ในระบบ​ P2P​ ก็อาจไปหาสถาบันมาค้ำประกันทั้งหมดหรือบางส่วนในหนี้ก้อนนี้ที่กำลังทำ​ Matching

สิ่งที่จะต่างกันบ้างเล็กน้อยคือคนที่เป็นเท้าแชร์จะรู้จักตัวตนของลูกแชร์ตัวเองอย่างลึกซึ้ง​ ต่อเนื่อง​ ยาวนาน​ มันมีความหมายมากกว่าการทำ​ KYC เพื่อให้บริการทางการเงิน​ อีกประการหนึ่งคือเทคโนโลยีและเครื่องมือครับ​ เครื่องมือของแชร์อาจแค่​ กลุ่มไลน์ไว้สื่อสาร​ พร้อมเพย์ไว้โอนเงิน​ และเลี้ยงโต๊ะจีนวันนัดเปียแชร์ที่เท้าแชร์ต้องเป็นเจ้าภาพ​

ถ้าเราตัดเอาเรื่องเครื่องมือทันสมัย​ กฎระเบียบที่เพิ่งออกมา​ และเรื่องที่เกิดในต่างประเทศ​ แล้วหันมามองนวัตกรรม​ในอดีตแบบบ้านๆที่แก้ไขปัญหาสภาพคล่องของ​ SME​ มาเป็นระยะยาวนาน​ ก็จะพบว่าเราๆท่านๆที่ทำมาค้าขาย​ ก็คงจะคิดตามได้ไม่ยากถึงความเหมือนความต่างของสิ่งที่เกิดในอดีตกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในตลาดบ้านเรา​ ประเด็นที่ผู้เขียนอยากให้สนใจคือ
1.ประสบการณ์ในเรื่องนี้ทั้งบวกและลบที่เกิดในประเทศจีน​ ถ้ามันมาเกิดกับประเทศเราบ้าง​ ใครจะเป็นคนเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา​ เพราะมันเป็นเรื่องเงินๆทองๆ​ มันไม่เข้าใครออกใครเสียด้วยสิครับ
2.ในบรรยากาศที่ดอกเบี้ยต่ำ​ มีพฤติกรรม​ Search for yield ที่เราๆท่านๆไม่อยากให้เกิด​ แต่เมื่อมีสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ว​ มันจะไปมีส่วนส่งเสริมพฤติกรรมที่เราไม่ค่อยอยากให้เกิดหรือไม่​ ดอกเบี้ยที่คิดไว้สูงสุด​ 15% มันจะแพงสำหรับโครงการดี  แต่มันจะถูกมากสำหรับโครงการแย่ๆ แต่แปลงกายมา​ บาปเคราะห์ตรงนี้ถ้าเกิดจะมีผลกระทบขนาดไหน​ หรือเป็นราคาซื้อประสบการณ์​ของนักลงทุน​ ตามแนวคิด​ การลงทุนมีความเสี่ยง​ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจ ขอขอบคุณท่านที่ให้ความสนใจทุกท่านครับ