เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : มาลองคิดกลับหัวในการแก้หนี้ปี​ 64-65​ กันดีไหม : วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563

มาลองคิดกลับหัวในการแก้หนี้ปี​ 64-65​ กันดีไหม

 เมื่อบทความนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปในวันจันทร์ตามกำหนดเวลา​ ผู้เขียนเชื่อ​ว่าหลายๆ ท่านที่ได้ติดตามอ่านจะได้ลองคิดว่าในปีหน้าและปีต่อไปคือปี พ.ศ. 2564 – 2565 อันเป็นปีที่โลกและประเทศของเราได้อยู่ร่วมกับไวรัสสายพัน​ธุ์ใหม่​ (โควิด-19) มาร่วมเป็นเวลาปีเศษๆ​ ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ​คงไม่ต้อง​พูดถึง​ ผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางถึงเล็กถึงระดับย่อยได้แผ่กระจายไปทั่ว​ ผลกระทบต่อกล่องดวงใจระบบเศรษฐกิจ​ไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก​ หากเทียบเป็นนักมวยก็คือโดนนับแปดสองหนติดกัน​ ตอนนี้กำลังอยู่ในภาวะยืนขึ้นแต่ขายังไม่นิ่ง​ ตายังลอยๆ​ ที่สำคัญคือหมัดชุดต่อไปของไวรัสที่มาจากฝั่งประเทศ​เพื่อนบ้านในชุดที่เรียกว่า​ การแพร่ระบาดรอบสอง​ ยังเป็นลูกผีลูกคนหรือไม่​ ถ้าดูจากที่รายงานก็ถือว่ามีการติดเชื้อภายในประเทศแต่ยังไม่มีการแพร่ระบาดจนระบบสาธารณสุขเอาไม่อยู่​ ที่กล่าวมาทั้งหมดคือบรรยากาศ​ที่เราๆ ท่านๆ เจอมาตั้งแต่ปลายปี​ 2562​ จนจะผ่านปี 2563 ไปสู่ 2564​ ในอีกไม่ช้าไม่นาน​ คำถามที่รอกันอยู่เวลานี้คือ​ เราๆ ท่านๆ ที่ยังมีภาระหนี้ที่ก่อกันมาในอดีตทั้งหนี้บ้าน​ หนี้บัตรเครดิต​ สินเชื่อส่วนบุคคล​ และหนี้รถยนต์​นั้น​ จะไปกันอย่างไรในปี​ 2564​-2565

ผู้เขียนอยากลองกลับหัวคิดกันใหม่ในการวางแผนแก้ไขหนี้ที่ต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่เรามักจะเริ่มจากฝั่งหนี้เสียก่อน​ เรามักจะคิดแก้ที่ตัวลูกหนี้ก่อน​ เราติดกระดุมเม็ดแรกของการใส่เสื้อเพื่อแก้หนี้ตามแบบแผน​นี้มาโดยตลอด​ มันอาจไม่ได้ผลในเวลานี้หรือไม่​ครับ​ เพราะตอนนี้ถ้าตั้งต้นด้วยสมมติ​ฐานด้านรายได้ของลูกหนี้ต้องมาก่อน มันไปไม่ได้ในบางกลุ่มลูกหนี้ชั้นดี ดีมากในอดีต​ แต่มาเจ็บแบบยังไม่จบเมื่อเจอ​ COVID-19 

 ผู้เขียนขอเริ่มอย่างนี้ครับ

1. เริ่มคิดแก้หนี้สิน​ ไม่ใช่แก้หนี้เสีย​ หลายครั้งฝั่งเจ้าหนี้จะเอาลูกหนี้วิกฤติ​ กำลังจะเป็นหนี้เสียมาแก้ไขก่อน​ ลูกหนี้ที่จ่ายชำระดีได้แต่ยืนมองตาปริบ​ๆ​ ว่าทำไมเราจ่ายดี​ ทำไมไม่มีการลดดอกเบี้ยลงมา​ ทำไมเงื่อนไขผ่อนปรนมากๆ ถึงให้กับคนที่ค้างชำระ​ วันนี้เวลานี้​อยากให้เจ้าหนี้ลงมาช่วยลูกหนี้ที่ชำระดี​ ชำระครบ​ ชำระตรงก่อนดีไหมเริ่มจากลดดอกเบี้ย​ ให้​ cash back คืน​ให้โบนัสเป็นการลดต้นบ้างดีไหม อย่าไปนึกว่ายังจ่ายได้จะไม่เป็นไร​ หากเหตุการณ์​พลิกผันไป​ ลูกหนี้ที่จ่ายดีอาจจะจ่ายไม่ได้​ ควรเข้าไปดู​ Residual Income เข้าไปดู​ Debt Service Income ว่ายังไปรอดหรือไม่​

 2. พวกสินเชื่อที่ได้สิทธิ์​หักเงินเดือนจากการจ่ายของนายจ้างตั้งแต่ต้นทาง​ที่เรียกว่า​ หักหน้าซอง​ ความเสี่ยงการไม่ชำระนั้นต่ำมาก​ ควรจะปรับลดดอกเบี้ยลงมาได้แล้ว​ เมื่อดูยอดที่หักกับรายได้ที่ลดลงมาก็ควรมีการปรับให้สอดคล้องกันเป็นสัดส่วน​ เจ้าหนี้เงินหักหน้าซองเหล่านี้​ ทางการผู้กำกับดูแลต้องรีบเข้าไปส่องพอร์ต​ลูกหนี้ของคนให้กู้ได้แล้ว​ การหักหน้าซองแล้วเงินเข้าซองเหลือไม่พอยังชีพ​ ไม่พอรักษาศักดิ์​ศรีความเป็นมนุษย์​ ต้องบากหน้าไปกู้นอกระบบมากินมาใช้ในเวลานี้มันก็แย่​ ที่สุดคนมันจะลุกฮือเอานะครับ

 3. จัดการกับเจ้าหนี้​ จัดการกับเงื่อนไข​ของสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบก่อนที่จะจัดการกับลูกหนี้​ โดยตั้งคำถามให้ชัดเจนว่า​ ถ้าลูกหนี้ผิดพลาดเกิดค้างชำระ​ กา

3.1​ เบี้ยปรับผิดนัดชำระมันแฟร์​ไหม อัตราเท่าใด​ คิดจากยอดไหน​ คิดแล้วเป็นเท่าไหร่​ มันต้องไม่เป็นภาระมากจนคนค้างชำระถอดใจยอมเป็นหนี้เสียดีกว่า

3.2 เงื่อนเวลาของการกลับสู่สถานะเป็นลูกหนี้ปกติหากมีการปรับโครงสร้างหนี้​ ต้องส่งเสริมให้คนพลาดหลงไปได้กลับตัวได้เร็ว​ ไม่ใช่ไปประทับเป็นตราบาปเขาว่า​ ไม่มีวินัย​ ฟุ่มเฟือย​ ใช้จ่ายไม่สมดุล​ 

3.3 คนค้ำประกันหรือการค้ำประกันต้องกำหนดตัวเลขตั้งแต่ต้นว่าคนค้ำจะค้ำในมูลหนี้วงเงินไม่เกินเท่าใด​ ถ้ามีมากกว่าหนึ่งคนต้องให้ชัดว่าแต่ละคนค้ำประกันเท่าใด​ ไม่ใช่เจ้าหนี้เลือกเอาคนค้ำคนใดคนหนึ่งหรือทั้งหมดมารับผิดในหนี้นั้นได้

 บทสรุป​ของผู้เขียนคือ​ ต้องแก้หนี้สินไม่ใช่หนี้เสีย​ ต้องจัดการเจ้าหนี้ก่อนลูกหนี้​ สินเชื่อหักหน้าซองเงินเดือนต้องให้สอดคล้องกับความเสี่ยง​ สุดท้ายคือเงื่อนไขเอาเปรียบลูกหนี้จนทำให้การกลับมาเป็นลูกหนี้ปกติมีต้นทุนที่สูงเกินไป..