เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : มุมหนึ่งที่น่าคิดของการแก้หนี้ครัวเรือนกลุ่มสินเชื่อบางประเภท : วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563

มุมหนึ่งที่น่าคิดของการแก้หนี้ครัวเรือนกลุ่มสินเชื่อบางประเภท
ในการหาทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สร้างความกดดันให้กับผู้คน​ จากการได้ลงไปทำงานในการแก้ไขปัญหาหนี้สินคุณครู​และบุคลากรทางการศึกษา​ พบข้อเท็จจริงบางประการ​ว่า​ ลูกหนี้กลุ่มอาชีพนี้มีหนี้สินกับสหกรณ์​ออมทรัพย์​ที่บริหารจัดการด้วยผู้คนในแวดวงอาชีพเดียวกัน​ หลายท่านอาจไม่ทราบว่าจากการรวบรวมตัวเลขของค​ณะผู้ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาพบว่า​ คุณครูและบุคลากร​ทางการศึกษามีหนี้กับสหกรณ์​ออมทรัพย์​ครู​ประมาณ 800,000 ล้านบาท และก็ยังมีสถาบันการเงินของรัฐให้สินเชื่ออีกหลายแห่งรวมๆกันประมาณ​ 600,000 ล้านบาท​ รวมแล้วเบ็ดเสร็จ​ประมาณ​ 1.4 ล้านล้านบาท​ อันนี้เฉพาะอาชีพเดียว​ สินเชื่อเงินหักหน้าซอง/สินเชื่อสวัสดิการ​ มันได้ตามมาหลอกหลอนท่านที่เป็นลูกหนี้มาก​ เพราะพอเงินเดือนออก​ จะมีรายการชำระหนี้เงินกู้สหกรณ์​ออมทรัพย์​มารอตัด​ ตามด้วยสินเชื่อสวัสดิการที่หน่วยงานต้นสังกัดไปร่วมมือกับสถาบันการเงินของรัฐเอามาให้คุณครูกู้​ เป้าหมายอาจสวยหรู​ว่าเป็นการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่​ สร้างอาชีพเสริม​ หากแต่ว่าในความจริงแม้มีกติกาว่า​ การจะหักเงินเดือนหน้าซองจะต้องเหลือเงินเข้าซองไม่น้อยกว่า​ 30% คิดง่ายๆคือเงินเดือน​ 30,000 บาทต่อเดือน​ หักชำระหนี้ได้สูงสุด​ 21,000 บาทต่อเดือน​ เหลือเข้าซอง​ 9,000 บาทต่อเดือน​ ไอ้ที่เข้าซองไปก็ต้องมีหนี้บัตรเครดิต​ หนี้ส่วนบุคคล​ อีกหรือไม่​ ถ้ามีก็ต้องไปจ่ายเจ้าหนี้เขา​ กติกาหรือระเบียบนี้ก็มีการปฏิบัติอย่างไม่จริงจังหรือไม่​ จนทำให้การก่อหนี้​ การสร้างหนี้​ การหักหนี้​ มันทำให้เงินเหลือเข้าซองแบบว่า​ เกือบเจ็ดหมื่น​ เข้าซองเจ็ดพัน​ หรือเจ็ดร้อย​ จนเป็นเรื่องราวกันอย่างที่ทราบๆ​ 
ผู้เขียนได้มีโอกาสรับฟังข้อมูล​จากนายธนาคารกลางที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหานี้ครับ​ ท่านได้แสดงความเห็นไว้น่าสนใจและขอนำมาส่งต่อเพื่อให้เราๆ ท่านๆ และท่านที่อยู่บนหอคอยงาช้าง​ ซึ่งกำลังแก้ปัญหาในห้องทดลอง​ (Lab แห้ง คือ ใช้ความคิดปกติแบบเดิมมาออกแบบแก้ปัญหาที่ไม่ปกติบวกการฟังแต่ไม่ยอมได้ยิน)​ ได้ลองเปิดใจรับฟังสิ่งที่คนเดินถนนอย่างผู้เขียนได้นำเรียนดังนี้นะครับ
… สินเชื่อที่หักจ่ายเงินเดือนหน้าซอง ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เป็นที่หมายปองของเจ้าหนี้
ในด้านหนึ่งยากที่จะปฏิเสธว่าการที่คุณครูจำนวนไม่น้อยมีภาระหนี้ค่อนข้างสูงส่วนสำคัญเป็นเพราะคุณครูมีความต้องการสินเชื่อเพื่อจับจ่ายใช้สอยในเรื่องต่างๆ (demand) แต่อีกด้านหนึ่งซึ่งที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้พูดถึงมากนัก คือการแข่งขันกันของเจ้าหนี้ในการปล่อยสินเชื่อให้คุณครู (supply) ซึ่งก็ยากที่จะปฏิเสธเช่นกันว่าการแข่งขันของเจ้าหนี้เป็นต้นเหตุที่มีความสำคัญไม่แพ้กันที่ทำให้คุณครูมีหนี้ค่อนข้างจะสูง 
นับตั้งแต่เริ่มบรรจุในวันแรก คุณครูสามารถที่จะกู้เงินเพื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็น และเมื่ออาชีพการงานก้าวหน้าไปตามลำดับและเงินเดือนที่ได้สูงขึ้น 
สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของคุณครูพร้อมที่จะให้คุณครูกู้รายละหลายล้านบาท ในขณะที่สถาบันการเงินก็พร้อมที่จะให้สินเชื่อสวัสดิการ เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเจ้าหนี้ต่างหมายปองสินเชื่อที่หักเงินเดือนหน้าซองของคุณครูเนื่องจากเป็นสินเชื่อมีความเสี่ยงต่ำ นายจ้างหรือหน่วยงาน​ต้นสังกัด หรือกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ทำหน้าที่หักเงินเดือนเพื่อจ่ายหนี้แก่เจ้าหนี้เป็นประจำทุกเดือน (collection) และสินเชื่อหักเงินเดือนหน้าซองของคุณครู ถือเป็นสินเชื่อหักเงินเดือนกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
อย่างไรก็ดี แม้สินเชื่อที่หักเงินเดือนหน้าซองมีความเสี่ยงต่ำ แต่พบว่าสถาบันการเงินและสหกรณ์ออมทรัพย์ครูคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากครูสูงต่ำแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อและเจ้าหนี้ 
จากการสำรวจของกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ครูคิดดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-9% ในขณะที่ฝั่งสถาบันการเงินของรัฐคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4-10% โดยรวมแล้วอาจจะกล่าวได้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เจ้าหนี้กลุ่มต่างๆคิดจากคุณครูถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาว่าความเสี่ยงด้านสินเชื่อ (credit cost) หรือความเสี่ยงที่คุณครูจะผิดนัดชำระหนี้มีอยู่ต่ำมาก และเจ้าหนี้แทบที่จะไม่มีมีค่าใช้จ่ายในตามเก็บหนี้ (operation cost) เลย เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่หักค่างวดชำระหนี้ที่คุณครูต้องจ่ายจากเงินเดือนของคุณครูเป็นประจำทุกเดือนเพื่อส่งเจ้าหนี้ ในขณะที่ต้นทุนของการระดมทุน (funding cost) ทั่วโลกอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย… 
คำถามคือ​ ถ้าเดินด้วยดอกเบี้ยเงินกู้แบบนี้ในสถานการณ์​แบบนี้มันเกินเลยไปหรือไม่​ มันควรต้องลดลงตามความเสี่ยงของการเก็บหนี้ที่ตนเองไม่ต้องมีต้นทุนหรือไม่​ การลดดอกเบี้ย​ ลดค่าผ่อนลง​ ยืดหนี้ออกไป​ ลดการส่งค่าหุ้น​ ลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาเพื่อไม่ให้ดอกเบี้ยเงินกู้มันสูงแบบนี้ในเวลานี้ควรต้องทำหรือไม่​ การปรับโครงสร้างหนี้ถ้าทำฝั่งเดียวคือสถาบันการเงิน​ เงินก่อนหักหน้าซองจะมีเหลือเพิ่ม​ คนที่มีสิทธิหักหน้าซองโดยอ้างกฎหมายที่ออกแบบมาตั้งแต่ในอดีตก็จะหักได้เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น​ ไม่มีแรงจูงใจให้เขาต้องลงมาช่วยลูกหนี้เพิ่ม​ เพราะเจ้าหนี้อื่นถูกกดดันให้ช่วยลูกหนี้แล้ว​ อีกทั้งตนเองก็ไม่ได้อยู่​ในกำกับของธนาคารกลาง​ 
ผู้เขียนใคร่ขอเสนอความเห็นแบบหักดิบดังนี้นะครับ​ ทำได้หรือไม่ก็ว่ากัน
1.ลดดอกเบี้ยเงินฝากให้เหลือไม่เกิน​ 1.5-2% เพราะดอกเบี้ยได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว
2.ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ให้เกิน​ 4-4.5%
3.ลดการนำส่งค่าหุ้นให้เหลือเป็นขั้นต่ำ​ 100 บาทต่อเดือน​ ใครจะมากกว่านี้ก็ได้​ สถานภาพ​สมาชิกไม่กระเทือน
4.เงินปันผล/เงินเฉลี่ยคืนไม่เกิน​ 4%
5.รายที่เป็นหนี้วิกฤติให้เอาหุ้นที่ลงไว้แล้วมาหักหนี้เพื่อยุบหนี้ปัจจุบันลงไปโดยสามารถไถ่ถอนได้ไม่เกิน​ 500,000 บาทต่อรายเป็นต้นและให้ทำครั้งเดียว
6.ไม่มีการให้มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) มาสนับสนุนเพราะเป็นเรื่องการบริหารจัดการของแต่ละแห่ง​ 
ผู้เขียนคิดแบบผ่าทางตันแล้วครับ​ ท่านจะด่าว่าอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ แต่เห็นแววตาของคุณครูที่เป็นหนี้แล้วไปต่อไม่ได้​ หรือไปได้ยากแล้วมันทุกข์​ใจ
ขอบคุณครับ