เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 3 มิถุนายน 2562
“อะไรคือลักษณะที่อาจไม่พึงประสงค์สำหรับคนที่เขามีหน้าที่พิจารณาให้เงินกู้”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/590959
มันเป็นเรื่องที่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากในยุคนี้เวลานี้ที่การยื่นขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อรถยนต์ กู้เอาไปใช้จ่ายทั้งที่เป็นเรื่องค่าใช้จ่ายอันจำเป็นบ้าง เช่น ค่าเทอมลูกหลาน เกิดอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ต่อเติมบ้าน ซ่อมแซม หรือจะเป็นพวกค่าใช้จ่ายที่อาจไม่จำเป็นเช่นซื้อของแพงๆ โดยที่บางครั้งของพวกนั้นก็มีแล้วเช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าโน่นนั่นนี่ หรือที่เลวร้ายหน่อยคือกู้ไปทำอะไรที่บันเทิงเริงรมย์ แต่ต้องมาทุกข์ตรมตอนจ่ายหนี้ เช่น กู้ไปกินเลี้ยงวันครบรอบวันเกิดอะไรอย่างนี้ เที่ยวไปก่อนผ่อนทีหลัง หนักๆ เข้าก็ประเภทวินาศไม่ว่าแต่ข้าต้องได้ชื่อ เป็นต้น เรื่องพวกนี้ อันนี้คือเหตุเริ่มต้นของการมีความจำเป็นต้องมีหนี้ มีทั้งหนี้ดีและหนี้ที่จะก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต
ทีนี้มามองคนที่ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ พิจารณาคำขอกู้ ซึ่งต้องคนหาตัวตนที่แท้จริงของคนที่มาขอกู้ โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญดังนี้
1.รายได้และแหล่งที่มาของรายได้ จุดที่สำคัญมากคือ คำว่ามากพอที่จะเชื่อว่าสามารถมีเงินมาชำระหนี้ได้ มีความสม่ำเสมอ ไม่วูบวาบเกินไป ที่สำคัญแหล่งที่มาของรายได้ เช่น กิจการของนายจ้าง ทำเลที่ทำมาหากินเป็นอย่างไร
2.ขีดความสามารถในการชำระหนี้ ในตรงนี้จะดูแต่ว่ามีรายได้อย่างเดียวไม่ได้ครับ ต้องเอารายได้ที่มีมาหักด้วยหนี้ที่จะต้องจ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่างวดผ่อนรถยนต์ ค่าผ่อนสินเชื่อ0% ค่าผ่อนบัตรเครดิต มาหักออกจากรายได้ แล้วดูว่าเงินรายได้สุทธิจะเป็นเท่าใด ยกตัวอย่าง มีรายได้ 18,000 บาทต่อเดือน มีหนี้บัตรเครดิต 3ใบๆ ละ 30,000 บาท รวมเป็นยอดหนี้ 90,000 บาท ถ้าผ่อนขั้นต่ำก็ต้องจ่ายหนี้รายเดือน 9,000 บาท จาก 18,000 - 9,000 = 9,000 บาทต่อเดือน เอา 30วันไปหาร ก็จะได้ว่ารายได้หลังหักหนี้บัตรแล้วเหลือเงินกินใช้ 300 บาทต่อวัน คำถามคือไหวหรือไม่ในกรุงเทพฯ
การเอายอดผ่อนหนี้ทุกสัญญาต่อเดือนมาหารด้วยรายได้รายเดือน เขาเรียกกันว่าอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้หรือ Debt service ratio หรือ DSR
3.ลักษณะนิสัยการชำระหนี้ในบัญชีหนี้สินต่างๆ ที่ตนเองได้ไปกู้ไว้ในอดีตว่าเมื่อได้ก่อหนี้รายการนั้นๆ แล้ว ได้ทำตามสัญญาไหม เป็นหนี้แล้วใช้หนี้ไหม ใช้หนี้ครบตามจำนวนไหม ใช้หนี้ตรงเวลาไหม มีหนี้เกินวงเงินไหม ตัวอย่างเช่น มีบางบัญชีในบางเดือนค้างชำระแต่ต่อมาก็รีบไปชำระในเดือนถัดไปแล้วจากนั้นจนถึงปัจจุบันไม่มีการค้างอีกเลย มีการค้างชำระแล้วก็ไปจ่ายชำระแต่เป็นอย่างนี้บ่อยๆในช่วง 6 เดือนหรือช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ มีการยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้หรือไม่ มีการปิดบัญชีไปบ้างหรือไม่ ปิดไปนานหรือยัง มีการไปค้างชำระยาวนานต่อเนื่องจนเจ้าหนี้ตามไม่ไหวตัดใจขายให้คนอื่นมาตามหนี้หรือไม่ มีการพักชำระหนี้หรือไม่ในบัญชีใดบัญชีหนึ่ง มีการถูกติดตามทวงถามจนถึงขั้นเจ้าหนี้บางแห่งฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่ ที่เลวร้ายคือมีการค้างชำระต่อเนื่องเกิน 90วันหรือ 3เดือนก็จะกลายเป็นลูกหนี้ NPL อาการแบบนี้จะบอกลักษณะ มีเงินแต่เหนียวหนี้ ไมทวงสุดๆ
ทีนี้คนที่มีลักษณะชำระหนี้ดี ใครๆก็อยากคบคือ ทุกบัญชีมีหนี้ไม่เต็มวงเงิน มีบัญชีบัตรเครดิตแบบใช้ 100จ่าย 100 มีบัญชีจำนวนไม่มาก ยอดผ่อนทุกบัญชีรวมกันเทียบกับรายได้ก็ไม่เกิน 40-50%
คนที่เขาต้องตัดสินใจนั้น เขาคิดเสมอว่าการจะให้เงินกู้ใครนั้น
1.เงินนั้นไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ของแบงก์ แต่เป็นของผู้ฝากเงิน
2.การตัดสินใจนั้นต้องอธิบายได้ว่าทำไมจึงตัดสินใจแบบนั้น ไม่ว่าจะให้หรือไม่ให้
3.มันมีกฏกติกา มารยาท ระเบียบเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น ราคาหลักประกันเทียบกับวงเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 90%, 75%บ้างเป็นต้น
4.การตัดสินใจนั้นต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเหมาะสม ที่จทำให้การตัดสินใจมีคุณภาพ
5.ต้องมั่นใจว่าเมื่อให้กู้ไปแล้วต้องไม่ไปเป็นภาระของคนกู้มากเกินกว่าขีดความสามารถของเขา คือผ่อนได้ ได้ประโยชน์จากการกู้ ให้กู้แล้วชีวิตลูกหนี้เขาควรจะดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง
อะไรคือลักษณะที่อาจไม่พึงประสงค์สำหรับคนที่เขามีหน้าที่พิจารณาให้เงินกู้จึงมาถึงตรงจุดสรุปว่ามันคือลักษณะพฤติกรรมที่ ก่อหนี้แบบไม่เหตุผล ไม่วางแผนการใช้จ่าย พฤติกรรมในอดีตมีความเสี่ยงว่าจะเอามาใช้ในอนาคตกับเจ้าหนี้ใหม่ที่กำลังยื่นขอกู้ ท่านผู้อ่านดูข้อ 2 ขีดความสามารถในการชำระหนี้กับข้อ 3 ลักษณะนิสัยในอดีตของการชำระหนี้ที่ตนเองก่อเอาไว้
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
สัญญาต้องเป็นสัญญา
เป็นหนี้ต้องใช้หนี้
พูดคำไหนก็ทำแบบนั้น
มันไม่ได้ยากในการตีความว่าต้องทำตนแบบไหน แต่มันจะยากมากถ้าคิดจะหลอกว่าเราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว แต่ขาดสิ่งที่จะมายืนยันให้คนพิจารณาสินเชื่อเขาเชื่อได้ว่าเราจะทำตามนั้น ทั้งๆ ที่ในอดีต สิ่งนั้นมันบ่งบอกแบบตรงข้ามกัน