ข้อเสนอนายธนาคารกลางที่เอาลูกหนี้มาอยู่ในสมการแก้หนี้ (ตอนที่ 2)
ต่อเนื่องจากบทความครั้งที่แล้วที่เป็นตอนที่ 1 ผู้เขียนอยากบอกว่าเนื้อหาในตอนที่ 2 จะเริ่มจากการลองคิด สำรวจข้อมูล และทบทวนความคิดว่าที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนในหลากหลายอาชีพนั้น เราได้พลาดไปในจุดใดบ้าง อะไรที่เราคิดว่าใช่แต่แท้จริงแล้วในมุมของคนที่เป็นลูกหนี้แล้วมันคือไม่ใช่ เพราะบางครั้งคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเป็นหนี้ (การเป็นหนี้ค้างชำระ การหลุดไปเป็นหนี้เสียหรือเป็นลูกหนี้ NPL การเป็นลูกหนี้ที่เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้)ดันต้องมาเป็นคนคิดหาหนทางการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และต้องไปออกกฎกติกา ระเบียบต่างๆให้กับทางฝั่งเจ้าหนี้ ผู้เขียนจึงขอนำเอาความคิดหนึ่งที่ได้รับมาจากคนของธนาคารกลางที่มีแนวคิดนอกกรอบ สวนทางกับแบบธรรมเนียมเดิม อย่างมีเหตุและผล เราลองมาคิด ถกเถียง และนำไปขยายผลหากเราทั้งหลายเชื่อว่ามันจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ประเด็นมีดังนี้ครับ
1. ปัญหาหนี้อาจจะไม่ได้เกิดจากลูกหนี้ แต่เกิดจากเจ้าหนี้ ขยายความว่า ในบางครั้งการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาจนสร้างภาระที่หนักมากให้ลูกหนี้ต้องปฏิบัติเมื่อเกิดการพลาดท่าในการชำระเช่น คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระอัตราที่สูงมาก และให้ใช้อัตราดอกเบี้ยนั้นกับยอดหนี้ที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งลึกๆลูกหนี้ในใจลูกหนี้ก็บอกว่าหนี้ยอดนั้นไม่ได้ผิดนัดชำระ แต่ข้อสัญญาไปกำหนดว่า เมื่อผิดนัดชำระ งวดใดงวดหนึ่งแล้วไม่จ่าย ให้ถือว่าหนี้ทั้งก้อนถึงกำหนด พอลูกหนี้จ่ายคืนไม่ได้ มันคือผิดนัดชำระทั้งก้อน ซึ่งมันใหญ่มาก ทีนี้พอจะพยายามจ่ายคืนให้กลับมาเป็นปกติ ก็ดันต้องจ่ายที่ค้างชำระทั้งหมดนั้นก่อน มันก็เป็นปัญหาไก่กับไข่อะไรต้องทำก่อน ประเด็นนี้พูดกันมากระหว่างเจ้าหนี้–ลูกหนี้และคนกลาง หรือปัญหาเหตุแห่งการเป็นหนี้ของคุณครูที่ได้ให้ความเห็นหลังจากคลิปเรื่องหนี้สินของคุณครูที่กำลังมีการพูดจาหาทางแก้เร่งด่วนในเวลานี้
2. ไม่ได้ตั้งต้นจาก อัตราส่วนความสามารถในการรับชำระหนี้หรือ DSR (Debt Service Ratio) แต่ตั้งต้นจาก ยอดรายได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและการชำระหนี้สินหรือ residual income ขยายความว่า บางทีในบางกลุ่มรายได้อาจควรต้องกำหนดกติกาว่า ในการพิจารณาสินเชื่อ จะต้องให้ลูกหนี้มียอดเงินคงเหลือไว้ใช้ยังชีพไม่น้อยกว่า 30% ของรายได้เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน การจ่ายหนี้คืนทุกบัญชีแล้วจะต้องมีเงินเหลือเพื่อไปยังชีพไม่น้อยกว่า 30% ของรายได้ซึ่งก็เท่ากับ 9,000บาทคิดเป็น 300บาทต่อวันเป็นต้น
3. การรวบรวมหนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้หนี้ครู แก้สำเร็จ ขยายความว่า วิธีคิดคือหาเจ้ามือใหม่เป็นเจ้าหนี้ที่กวาดเอาหนี้ของลูกหนี้ที่มีไว้ในที่ต่างๆมารวมไว้ที่เดียวแล้วก็ให้ผ่อนกับเจ้าหนี้คนนั้นรายเดียว คำถามคือแล้วตัวลูกหนี้จะไปก่อหนี้กับใครคนอื่นอีกหรือไม่ กับเจ้าหนี้ที่รวมหนี้นั้นจะเอาแหล่งเงินทุนจากไหนมาใช้รวมหนี้ ยิ่งหนี้มีหลักประกันด้วยแล้วจะคุยกันยากมากๆ ดังนั้นวิธีการปัจจุบันคือการยุบหนี้ หมายความว่าให้หาสินทรัพย์มาขายแล้วนำเงินมาชำระหนี้ จากนั้นก็ทุบหนี้ให้แบนคือขยายงวดการผ่อนชำระออกไปให้ยาวนาน ทั้งนี้เพื่อให้ยอดจ่ายเงินงวดรายเดือนมันลดต่ำลงมา แน่นอนครับการเป็นคนมีภาระหนี้นั้นจะยาวนานมากขึ้น
4.เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเป็นต้องใช้ยามเกษียนตอนแก่เท่านั้น ขยายความว่า แนวคิดคืออาจไม่อยู่รอใช้เงินก้อนนี้ที่ถือเป็นเรื่องการออมภาคบังคับที่ใช้ได้ตอนเกษียณ เพราะหากเราจะเอาออกมาบางส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่เพื่อเอามายุบหนี้หรือตัดชำระต้นเงินที่คนคนนั้นใัม่ไหว มันจะช่วยเขาในเวลานี้ให้มีอายุพอจนไปถึงวันนั้นเพื่อจะได้ใช้เงินที่เขาออมเอาไว้หลังเกษียณ
5.หุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์จะขายได้ก็ต่อเมื่อลาออกจากสมาชิกเท่านั้น ขยายความว่า ถ้าเราเป็นลูกหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ อาจต้องขอให้มีการยืดหยุ่นข้อบังคับให้ลูกหนี้ที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์สามารถขายหุ้นที่เขาซื้อเพิ่มและนำส่งเงินชำระค่าหุ้นทุกเดือนนั้นมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่เขามีกับสหกรณ์ออมทรัพย์ การ off set นี้จะทำเพียงบางส่วนเท่านั้น สาระสำคัญคือลดยอดหนี้ลงมาให้เหมาะสมกับสุขภาพทางการเงินของลูกหนี้
ทั้ง5เรื่องนี้ส่วนหนึ่งคือการทำแบบเดิมๆแล้วบางทีอาจไม่มีใครชอบเลยก็ได้ แต่หากเราต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง เราจะไม่มีทางได้ถ้าเราไปทำเหมือนเดิม
ลองคิด พิจารณาบทความตอนที่ 2 นี้ด้วยนะครับ