เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 13 พฤษภาคม 2562
“ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว แก้ไข ไม่ใช่เอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไข”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/588899
บทความในวันนี้ต้องขอออกตัวไว้ก่อนไว้ว่าไม่ใช่การตอบโต้ หรือการตั้งป้อมต่อสู้กันแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าหากเราเป็นผู้บริหารที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า “มืออาชีพ” รับจ้างเถ้าแก่หรือเจ้าของเงินมาบริหารกิจการให้รุ่งเรือง เติบโต และก้าวหน้า แน่นอนว่าสภาพเศรษฐกิจ เงื่อนไขทางกฎระเบียบ พฤติกรรมของลูกค้าย่อมไม่อยู่นิ่งให้เราบริหารได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวต้มกับไข่เค็มตอนเช้าแน่นอน โลกของการบริหารจัดการจึงมีบทเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโทว่า “ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว แก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว(กับเถ้าแก่ว่าทำไม่ได้ ทำได้ยาก) หรือเอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไขโดยเฉพาะภาครัฐที่เขามีอำนาจหน้าที่ เขามีข้อมูล และเขาก็เปิดโอกาสให้เข้าไปดูข้อมูล เข้าไปให้ความเห็นแล้ว เมื่อเถียงไม่ชนะ หรือสู้แล้วไม่ชนะด้วยวิชาการ ก็ไม่ควรใช้วิชามารไปอิงภาคการเมืองที่กำลังจะเข้ามาใหม่ โดยเอาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจผ่านความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้ามาเป็นตัวประกัน แบบที่ตอนจบฉันยังคงมีกำไรไปแบ่งปันผลครบเหมือนเดิม
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อทางธนาคารกลางในประเทศของเราออกมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในสามมิติ คือ
1. ถ้ายังผ่อนเงินกู้ที่อยู่อาศัยหลังที่หนึ่งยังไม่จบหากจะก่อหนี้หลังที่สอง หรือสามก็ต้องมีการวางดาวน์เพิ่ม กู้ในสัดส่วนกับหลักประกันน้อยลง
2. สินเชื่อที่นำมา Top up จะไม่ใช่อะไรก็ได้ เพื่อป้องกันการก่อหนี้ไม่มีหลักประกันมาแฝงกับส่วนต่างของหลักประกันของสูตรมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV)
3. ป้องกันการเก็งกำไร การกู้เงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยแต่ไม่ได้เอาไว้อยู่ แต่เอาไปปล่อยเช่า หรือกู้เพื่อลงทุนกะเอาไว้ขายต่อฟันกำไรในอนาคต ซึ่งมันจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินจริง
ในฝั่งของคนที่ทำบ้าน ทำคอนโด ทำที่อยู่อาศัยขาย ก็เจอกับปัญหาแน่ๆ
1. โครงการที่กำลังสร้างกำลังขายจะทำอย่างไร กติกาสำหรับคนที่กู้มาซื้อมันเปลี่ยนแบบเป็นผลลบกับการบริหารของฝั่งคนขายของ
2. โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว กำลังขายอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาปิดขายทั้งหมด 14 เดือน เจอกติกาใหม่อาจต้องลากยาวไปเป็น 18 หรือ 24 เดือนแทน ต้นทุนที่เพิ่มจะทำอย่างไร
ทางออกสำหรับคนที่เป็นมืออาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมาก็คือ เร่งแก้ไขมิใช่แก้ตัว เร่งทำงานหนักขึ้น มิใช่ผ่อนงานหนักไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่านักผลักภาระมิใช่นักบริหารจัดการภาระ
ผมขอยกคำพูดที่มีการนำเสนอในข่าวที่ระบุว่า…. สิ่งที่รัฐบาล (ผู้เขียน: คงหมายถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมา) น่าจะดำเนินการ คือ ควรไปดำเนินการกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย (ผู้เขียน: คงหมายรวมถึงกำไรจากการทำธุรกิจด้วย) ทั้งนี้ ตนเสนอว่าควรจะผ่อนปรนเรื่องมาตรการ LTV โดยให้เลื่อนไปใช้เดือนมกราคม 2563 เนื่องจากจะได้ให้เวลากลุ่มผู้ซื้อ ระดับกลาง-ล่าง มีวินัยในการเก็บเงินออม (ผู้เขียน: แล้วช่วงเวลาที่ขยายก็ทำแบบเดิมได้ใช่หรือไม่ ดาวน์น้อย กู้มากเกิน LTV. ใครจะเก็งกำไรก็ทำไป แต่ขอเพียงของฉันขายได้อย่างนั้นหรือ) ส่วนการจะบังคับช่วงไหนก็พิจารณาตามความ เหมาะสมในปีหน้า(ผู้เขียน :ประเด็นนี้ได้มีการเสนอ และเจรจาต่อรองแล้วใช่หรือไม่ สามารถหักล้างเหตุผลกับคนที่เขามีหน้าที่ออกกฎแล้วใช่หรือไม่) รวมถึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับลดระยะเวลาการเก็บข้อมูลลูกหนี้จากศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโรจาก 3 ปีเป็นเหลือ 2 ปี เพื่อส่งผลดีต่อลูกหนี้ในเรื่องของการเข้าถึงธุรกรรมการเงิน ผู้เขียนขอเรียนในประเด็นเรื่องระยะเวลาเก็บข้อมูลลูกหนี้ ดังนี้
1. ระยะเวลาที่เป็นมาตรฐานต่ำสุดของสากลในกว่า 190 ประเทศ คือ 3 ปี ประเทศเราจะต่ำกว่ามาตรฐานสากลหรือ แม้แต่เอธิโอเปียยังกำหนด 5 ปี กัมพูชากำหนด 10 ปี ท่านจะรับได้ไหมถ้าธนาคารโลกประเมินเราเรื่องนี้ลดลง
2. ความเสี่ยงของคนฝากเงินเพิ่มเพราะคนกลางคือธนาคารเห็นประวัติความตั้งใจในการชำระหนี้คนยื่นขอกู้น้อยลง การไปหยิบเอาเงินของคนฝากมาให้คนกู้มีความเสี่ยงมากขึ้น ท่านยังจำวิกฤติการณ์ปี 2540 ได้หรือไม่
3. แล้วคนที่เขามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีหล่ะครับ เขาควรได้ประโยชน์จากประวัติที่ดีในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง คนที่มีวินัยเขาควรได้ประโยชน์ใช่หรือไม่
สุดท้ายครับ ผมเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาท่านรับนักบัญชี สถาปนิก วิศวกร เข้ามาทำงานที่กิจการท่าน เขาเรียน 4 ปีอย่างน้อย ทำไมท่านไม่ดูประวัติเขาสองปีในการรับคนเข้าทำงานหล่ะครับ ทำไมท่านไม่ลดราคาลงมา ยอมรับกำไรต่อยูนิตที่ลดลง เพราะถ้าราคามันลดลง ยอดเงินกู้ก็ลดลง ยอดผ่อนก็ลดลง ลูกค้าที่มีกำลังผ่อนก็มากขึ้นหรือไม่ หรือวิธีคิดของผู้บริหารมืออาชีพคือ ได้เอา เสียไม่เอา เถียงแพ้ในเวที ก็มาออกสื่อขอนักการเมืองครับ
ผู้เขียนขอใช้พื้นที่สื่อ สนทนาธรรมกับท่านผู้บริหารมืออาชีพอีกครั้งนะครับ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งกระทบจิต สะเทือนใจก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ