สิ่งดีๆ จากไลน์ที่เผยแพร่กันในยามนี้
ในช่วงเวลาที่ทุกคนในกรุงเทพมหานครต่างกำลังพยายามและทำใจรับกับมาตรการที่อาจขัดกับพฤติกรรมของเราๆท่านๆ เช่น ไม่พบปะผู้คนเป็นกลุ่มก้อน ไม่พยายามจับหน้า จับจมูก จับปาก แนะนำว่าอยู่บ้านไม่ต้องออกไปไหน ถึงขนาดที่คุณหมอบางท่านบอกว่า “หมอกราบนะครับ เชื่อหมอ ให้อยู่บ้าน แล้วเราจะรอด” แต่ในระหว่างที่เราอยู่บ้านอ่านไลน์ ผู้เขียนพบข้อความที่ส่งต่อมาว่าเป็นคำแปลจากสิ่งที่มหาเศรษฐีด้านไอที บิล เกตส์ ได้ให้ไว้กับสื่อ แม้ว่าผู้เขียนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ามันใช่-ไม่ใช่ แต่ด้วยสาระของมัน ด้วยภาษา การเรียงร้อยเรื่อง การลำดับความ และข้อคิดต่างๆ ทำให้เราๆท่านๆต้องก้าวข้าม และตัดสินใจนำเสนอให้กับผู้อ่านยามนี้นะครับ ขอยกเอาข้อความแทบทั้งหมดมาสื่อสารออกไปในวงกว้างดังนี้
“ผมเป็นคนที่เชื่อว่ามีบางอย่างดลบันดาลให้ทุกอย่างบนโลกนี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี ผมมาตรองดูแล้วก็อยากจะแชร์สิ่งที่ผมคิดไว้ว่า COVID-19 กำลังทำอะไรกับเรา
1) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าพวกเราทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัฒนธรรมไหน นับถือศาสนาอะไร มีอาชีพอะไรสถานะทางการเงิน หรือชื่อเสียง โรคนี้ปฏิบัติต่อเราอย่างเท่าเทียม และบางทีเราก็ควรจะปฏิบัติต่อคนอื่นแบบนั้นบ้างเหมือนกัน ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ไปถาม ทอม แฮงค์ดู
2) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าพวกเราทุกคนมีความเชื่อมโยงกัน และอะไรที่กระทบคนหนึ่งก็จะกระทบคนอื่นด้วย มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าพรมแดนปลอมๆที่เราสร้างขึ้นมาไร้ค่าเพียงใดเพราะโรคนี้เดินทางไปโดยไม่ต้องใช้หน้งสือเดินทาง ด้วยการบีบรัดเราในช่วงสั้นๆนี้ มันเป็นสิ่งเตือนให้เรานึกถึงคนที่เขาถูกกดขี่มาตลอดชีวิต
3) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าสุขภาพมีค่าเพียงใดและเราได้ละเลยเรื่องนี้มาตลอดด้วยการกินอาหารที่ผลิตมาแบบแย่ๆและดื่มน้ำที่มีแต่สารเคมีปนเปื้อน
4) มันเป็นสิ่งเตือนใจถึงชีวิตอันแสนสั้นและสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องทำ นั่นคือการช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนป่วย จุดมุ่งหมายของเราตอนนี้คือเราจะไม่ไปกว้านซื้อกระดาษชำระ
5) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าสังคมเราวัตถุนิยมมากเพียงใด และให้เราจำไว้ว่าในเวลายากลำบากเราต้องการแค่สิ่งที่จำเป็นจริงๆ (อาหาร น้ำ ยารักษาโรค) ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยที่เราไปให้ค่ามันโดยไม่จำเป็น
6) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าครอบครัวและการใช้ชีวิตกับครอบครัวสำคัญมากเพียงใด ให้เรารู้ว่าเรามองไม่เห็นสิ่งนี้มากแค่ไหน โรคนี้กำลังบังคับให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเพื่อที่เราจะได้สร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่และทำให้ครอบครัวแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
7) งานของเรามันเป็นสิ่งเตือนใจว่าสิ่งที่เราต้องทำจริงๆ ไม่ใช่งาน งานคือสิ่งที่เราทำแต่เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ทำงานจริงๆ งานของเราคือการดูแลและปกป้องคนอื่น และทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น
8) มันเป็นสิ่งเตือนใจให้เราควบคุมความเป็นตัวกู ของกู มันเป็นสิ่งเตือนใจว่า ไม่ว่าเราหรือคนอื่นจะคิดว่าเรายิ่งใหญ่แค่ไหน เชื้อไวรัสนี้ก็ทำให้โลกหยุดนิ่งได้อยู่ดี
9) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าพลังในการเลือกอยู่ในมือเรา เราเลือกได้ว่าจะทำงานร่วมกับคนอื่น ช่วยและแบ่งปัน หรือจะเห็นแก่ตัว กักตุนของ และดูแลแต่ตัวเอง ยามยากนี่แหละที่ตัวตนที่แท้จริงของเราจะเปิดเผยออกมา
10) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าเราสามารถจะเป็นคนที่อดทนหรือตื่นตระหนก เราเข้าใจได้ว่าสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งก่อนยุคของเราและมันจะผ่านไป หรือเราจะตระหนกและมองมันว่าเป็นจุดจบของโลกซึ่งดูแล้วน่าจะทำให้เราแย่มากกว่าดี
11) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นทั้งจุดจบและจุดเริ่มต้น ตอนนี้คือเวลาให้เรามาตรึกตรองและทำความเข้าใจว่าเราเรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาด เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรที่จะหมุนไปจนกว่าเราจะได้บทเรียนที่เราต้องรู้
12) มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าโลกของเราป่วย มันเป็นสิ่งเตือนใจว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องมาดูอัตราการหายไปของป่าและความเร็วที่กระดาษชำระหายไปจากชั้นขายของ เราป่วยเพราะบ้านเราป่วย
13) เป็นสิ่งเตือนใจว่ายังมีฟ้าหลังฝน วงจรชีวิตยังหมุนไป และตอนนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของวงจร เราไม่ควรตระหนกเพราะเรื่องนี้จะผ่านไป
14) ในเวลาที่หลายคนมองว่า COVID -19 เป็นหายนะที่หนักหนาสาหัส ผมมองว่ามันเป็น *ตัวแก้ปัญหา* ที่ถูกส่งมาให้เตือนเราถึงบทเรียนที่เราหลงลืมไป และเตือนว่าทุกอย่างอยู่ที่เราที่จะเรียนรู้มันอีกครั้งหรือไม่
ค่อยๆ อ่าน ทำความเข้าใจแต่ละข้อ คิดตาม แล้วค่อยตัดสินใจก่อนเราจะก้าวขาออกจากบ้านในขณะที่มีคำสั่งของทางการทั้งห้ามให้ทำ สั่งให้ทำ และควรจะทำในเวลานี้ อ่านช้าๆเหมือนกินข้าวทีละคำ เคี้ยวให้ละเอียด กระเพาะจะได้ไม่ทำงานมาก เนิบช้า ช้าให้เหมือนอย่างที่เราอยากจะได้ตอนที่เราถูกกดดันให้เร่งรีบครับ
ขอขอบคุณท่านที่เป็นคนแชร์ ข้อความนี้คนแรกและทุกท่านที่กระจายข้อความนี้ด้วยความปรารถนาดีกับคนไทยด้วยกัน