เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “ทำไมเวลานี้ถ้าคิดจะทำอะไร.. ไม่ทำช้าไปก็ทำน้อยไป​ มันทำไมไม่พอดี” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563

ทำไมเวลานี้ถ้าคิดจะทำอะไร.. ไม่ทำช้าไปก็ทำน้อยไป​ มันทำไมไม่พอดี

บทความวันนี้ก็อยากจะสะท้อนเสียงที่ส่งกันออกมาทั้งจากผู้คนที่ได้รับผลกระทบ​ ผู้คนที่เป็นตัวสาเหตุให้เกิดผลกระทบ​ ผู้คนที่ทำธุรกิจ​ ผู้คนที่ออกกฎ กติกา​ มารยาทในเรื่องใดๆที่ให้ทำตาม​ ตลอดรวมไปถึงเรื่องที่ห้ามไม่ให้กระทำ​ ผู้เขียนได้เข้าไปรับฟังจากท่านๆที่เกี่ยวข้อง​ ไม่เกี่ยวข้องแต่ออกความเห็น​ ก็พบว่าหากมีการแบ่งความเห็นของแต่ละฝ่ายออกมาแล้วก็จะพบกับคำว่า​
มันไม่ลงตัวบ้าง
มันเกาไม่ถูกที่คันบ้าง
มันไม่ขาดไป​ ก็เกินไป​ หรือไม่ก็ช้าเกินไป
หรือมันเป็นมาตรการที่ทำน้อยไปบ้าง
ตัวอย่างเช่น
1. เรื่องฝุ่นละออง​ ไอ้คนที่ทำให้เกิดก็ไม่ใส่ใจ​ รถเก่าก็จะใช้​ ควันออกมาก็บอกไม่เป็นไร​ อ้างสารพัด​ พอคนในครอบครัวบุตรหลานต้องได้รับผลกระทบก็จะแสดงความไม่พอใจภาครัฐว่าไม่เอาจริง​ ไม่จับปรับยึดรถต้นเหตุ​ แต่พอรถตัวเองโดนมาตรการป้องกัน​บ้างก็บอกว่าภาครัฐใช้กฎหมายเข้มไป​ รังแกคนทำมาหากิน​ แล้วพอวันเวลาผ่านไปก็ลืมๆกันไป​ ปีหน้าเวลาเดิมก็คงจะมาถกเถียงกันใหม่​ มันเหมือนใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละออง​บนหน้าตนเองที่ใส่หน้ากากความไม่จริงใจและเห็นแก่ตัวของตัวตนเราอีกชั้นหนึ่ง​ เวลานี้ในแง่ของสุขอนามัยผู้คน​ ทั้งอาหาร​ น้ำ​ และอากาศ​ มันกลายเป็นสภาพที่สร้างความเหลื่อมล้ำ​ คนมีฐานะสามารถเข้าถึง​ ป้องกัน​ รักษา​ และเก็บกักเอาไว้ได้​ แต่คนที่มีฐานะน้อยถึงน้อยมาก​ ต้องรับเอาผลกระทบเต็มๆ​ ไม่ช้าไม่นานเกินช่วงชีวิตคนมันจะสร้างแรงสะท้อนกลับอย่างคาดไม่ถึง​

2. การออกมาตรการมาสกัดการเก็งกำไรในภาคอสังหา​ริมทรัพย์​ หรือมาตรการ​ LTV สยบยุทธภพ​ ผู้เขียนพบว่า

2.1​ คนออกมาตรการเขาก็หวังดีว่า
(1)​ ที่ผ่านมามันมีพฤติกรรม​สินเชื่อเงินทอน​ ราคาเกินจริง​ มีการเก็งกำไร​ มีการสร้างหลักสูตรเรียนกันเลยเรื่องการขอเงินกู้มาลงทุนในสินทรัพย์​อสังหาริมทรัพย์​แล้วบริหารผลตอบแทน
(2)มันไปกระทบกับคนที่อยากมีที่อยู่อาศัยสัญญาแรก​ หรือบ้านหลังแรก​ เพราะมันจะทำให้ต้องเป็นหนี้เพิ่มในการได้มาซึ่งบ้านบนราคาที่มีผลมาจากการเก็งกำไร

2.2 คนที่ทำสินค้าที่อยู่อาศัยแบบต่างๆ​ ก็ได้รับผลกระทบเหตุเพราะลูกค้าที่ซื้ออยู่จริง​ ลูกค้าที่ซื้อลงทุน​ ลูกค้าที่ซื้อเก็งกำไร​ และผู้ลงทุนต่างชาติ​ ต่างก็มีปัจจัยในการตัดสินใจต่างกัน​ แต่ถ้าไปกู้เงินมาซื้อสินทรัพย์​เหล่านี้​ได้ยากแล้วก็แทบจะจบข่าว​ ท่านเหล่านั้นก็ต้องแปลงกายเป็นนักร้อง​ ร้องแบบขอให้เหมือนเดิม​ ร้องแบบใจโทรมๆ​ ร้องแบบนานเท่าไหร่ก็รอ​ หรือร้องแบบจะตายให้ดูเป็นตัวอย่าง​ ซึ่งผู้เขียนเวลาฟังเพลงเหล่านั้นแล้วก็ต้องขอดูงบการเงินปี​ 2562​ ของกิจการเหล่านั้นประกอบด้วยว่า​ ความจริงในงบที่แสดงกับเพลงที่กำลังร้องมันไปด้วยกันมั้ย​ เพื่อมิให้ตัวเองต้องร้องเพลงรู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก

2.3​ คนที่ทำหน้าที่ตัวกลางในการเอาเงินกู้ใส่มือคนอยากมีบ้าน​ ไปซื้อของจากคนทำบ้านหรือที่อยู่อาศัยขาย​ แล้วคนกู้ก็ได้เข้าไปอยู่​ แล้วก็ค่อยๆทยอยผ่อนชำระทั้งต้นและดอกเบี้ยให้คนปล่อยกู้​ ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้ก็เอาไปลงบัญชีเป็นรายได้​ ทีนี้ถ้าดอกเบี้ยเก็บไม่ได้​ ต้นเงินอาจจะไม่ได้คืน​ ความเลวร้ายยุ่งยากก็จะตามมา​ สิ่งที่ฟ้องคือตัวเลขหนี้เสีย​ หนี้ค้างชำระมั

สุดท้ายของสุดท้าย​ ของบทความในวันนี้​ ผู้เขียนคิดว่ามันมี​ 2คำที่อาจทำให้เกิดความไม่ลงล็อคในการดำเนินไปให้ราบรื่น​ สองคำนั้นคือ​ Cost of face กับ​ Cost of fund คนบางกลุ่มที่ไม่ต้องรับผิดชอบกับผลกำไรในภาคธุรกิจ​ ชั่วชีวิตดูแต่รายงาน​ ตัวเลข​ ไม่เคยตัดสินใจให้ใครกู้เงินได้-ไม่ได้​ เคยแต่ผลัดกันเขียน​ เวียนกันอ่าน​ ผ่านกันชม​ แสดงบทบาทในเวทีงานต่างๆ​ สมการในการตัดสินใจอาจโน้มเอียงมาทาง​ Cost of face คือสิ่งที่ฉันคิดมันใช่​ ถึงมันอาจจะไม่ใช่ไปแล้วในเวลานี้​ แต่จะให้กลับข้าง​ไปเลย​ แล้วจะเอาหน้าตาไปไว้ที่ไหน ครั้งหน้าครั้งต่อไปเวลาพูดอีกในเรื่องอื่นใครมันจะเชื่อ… ส่วนพวกที่โน้มเอียงมาทาง​ Cost of fund ก็เน้นย้ำว่า​ กำไรหรือผลตอบแทนบนทุนที่ระดมมาลงนั้นเป็นใหญ่​ วิธีการไปสู่เป้าหมายไม่สำคัญมาก​ไปกว่าเป้าหมายต้องถึง​ หน้าตาไม่สำคัญ​ วันนี้จะพูดต่างจากวันวานบ้างก็ไม่เป็นไร​เพราะสถานการณ์​เปลี่ยน​ ยิ่งมีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นยิ่งต้องหาผลตอบแทนให้มหาชน​เพิ่มขึ้นทุกปี​ ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้​
มาถึงตรงนี้​ ผู้เขียนก็ได้แต่พูดว่า​
บุญรักษา​ คุณพระ(ช่วย)​คุ้มครองครับ…