เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “เบี้ยปรับการชำระล่าช้าของสินเชื่อ… ถึงเวลาที่ต้องยกมาคุยกันไหม” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562

เบี้ยปรับการชำระล่าช้าของสินเชื่อ… ถึงเวลาที่ต้องยกมาคุยกันไหม

นอกจากการยกระดับความเข้มข้นในการเรื่องการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของลูกค้าผู้ยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ในเวลานี้ถือได้ว่ามีความเข้มงวด​ ตรวจเข้มในเรื่องที่มาของรายได้​ ความแน่นอนของรายได้​ ความเพียงพอของรายได้ต่อการชำระหนี้เก่า​ และหนี้ใหม่ที่กำลังพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติที่เราเรียกรวมกันว่าความสามารถในการชำระหนี้(ability to pay) รวมทั้งการวิเคราะห์ถึงความตั้งใจในการชำระหนี้(willingness to pay) ที่ดูจากประวัติการก่อหนี้​ ประวัติการชำระหนี้​ ที่มีการจัดเก็บไว้ในระบบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น​ ข้อมูลในเครดิตบูโร​ แล้วนั้น​ ได้เป็นเงื่อนไขในการร้องเรียนจากทั้งตัวลูกค้าผู้ยื่นขอสินเชื่อแต่ไม่ผ่านการอนุมัติ​ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจ​ กิจการห้างร้านที่ขายของมูลค่าสูงให้กับลูกค้าเช่น​ ธุรกิจขายบ้าน​ ขายคอนโด​ ขายรถยนต์​ที่ตัวคนซื้อจะต้องไปกู้เงินจากสถาบันการเงินมาซื้อสิ่งเหล่านั้น​ พอการอนุมัติทำได้ยาก​ ของที่จะขายมันก็จะยากตามๆกันไปด้วย

แต่ในวันนี้ผมจะไม่พูดในประเด็นนี้นะครับ​ สิ่งที่ผู้เขียนอยากนำเสนอคือ​ เมื่อเวลาที่ลูกค้าได้รับอนุมัติเงินกู้เพื่อไปซื้อบ้าน​ ซื้อคอนโด​ ซื้อรถยนต์​แล้ว​ มีการผ่อนชำระเป็นงวดๆรายเดือนที่เรียกว่า​ ยอดผ่อนต่อเดือน​ เงินงวดต่อเดือน​ ยอดส่งหนี้ต่อเดือน​ ซึ่งถ้าผ่อนได้ตามปกติมันก็ไม่มีประเด็นอะไร​ เรื่องหนี้ก็เดินกันไปตามตารางที่ตกลงกันตามปกติ​

ปัญหามันเกิดตอนที่ลูกค้าที่กู้เงินหรือลูกหนี้สินเชื่อเกิดมีอาการสะดุด​ ช็อตเงิน​ ทำให้ไปจ่ายเงินงวดไม่ทัน​ หรือส่งยอดชำระหนี้ในเดือนนั้นๆไม่ทัน​ สิ่งที่จะตามมาคือ​ เจ้าหนี้ก็จะใช้เงื่อนไขในสัญญามาบังคับ​ ซึ่งเงื่อนไขในสัญญาก็มักจะบอกว่า
1.การผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่งก็ถือว่าหนี้คงค้างทั้งหมดก็ผิดนัดชำระไปด้วย
2.อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระล่าช้าก็จะเปลี่ยนอัตราจากอัตราปกติที่กู้ยืมมาเป็นอัตราผิดนัดชำระ​ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่คิดจะสูงมากเช่น​ 18% เป็นต้น
3.ยอดที่จะเอามาคำนวณตัวเงินที่ต้องชำระเบี้ยปรับล่าช้า​ บางสัญญาจะเอายอดหนี้คงเหลือที่ยังไม่ได้ชำระทั้งหมดมาคำนวณซึ่งจะเป็นอัตราหรือจำนวนเงินที่สูงมาก

คำถามคือ​ ถ้ายอดชำระต่อเดือนมันคือ​ 20,000 บาท​ และมียอดหนี้คงเหลือ​ 800,000 บาท​ เวลาผิดนัดชำระเงินงวด​ มันคือการผิดนัดชำระเงิน​ 20,000 บาทที่ไม่มาตามนัดใช่หรือไม่​ เหตุใดจึงไปคิดเบี้ยปรับล่าช้าเอากับยอดหนี้คงเหลือ​ 800,000 บาทด้วย​ คำตอบที่ได้รับมาจะมีดังนี้คือ
1.มันเป็นไปตามข้อสัญญา​ ตอนทำสัญญาไม่ได้บังคับให้ลูกค้ายอม เมื่อตกลงเซ็นแล้วก็ต้องตามนั้น
2.มันก็ถือปฏิบัติกันมาอย่างนี้ตั้งแต่ในอดีต​ จะมาสงสัยอะไรเวลานี้
3.คนที่เป็นลูกหนี้จะได้ไม่กล้าผิดนัดชำระเพราะถ้าผิดนัดก็จะเจอผลกระทบที่สูงมาก​ ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงไม่ชำระหนี้

คนที่เป็นลูกหนี้ก็จะเถียงในใจมาตลอดว่าไม่แฟร์​ ไม่เป็นธรรม​ แต่ต้องยอม​ เพราะไม่ยอมก็ไม่ได้เบิกเงินกู้​ ตัวผู้เขียนก็ยอมรับหลักการที่ว่า​ สัญญาต้องเป็นสัญญา​ ลูกหนี้มีเสรีภาพในการเข้าทำสัญญา​ เมื่อไม่ถูกบังคับให้ทำสัญญา​ และสัญญาทางแพ่งนี้ไม่ได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย​ กำหนดไว้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น​

ประเด็นลึกๆก็คือ​
ที่เหมาะที่ควร​ มันอยู่ตรงไหน
ที่เป็นธรรม​ ยอมรับกันได้
ไม่เอาเปรียบกันจนเกินส่วน​
คนที่ผิดพลาดไปควรได้รับการลงโทษพอสมควร​ ไม่ใช่เอาแบบสาแก่ใจ
นานาประเทศอื่นเขาทำกันอย่างไร​
มันควรถึงเวลาที่ผู้กำกับดูแลจะลงมาดูและจัดการให้เป็นไปตามทำนองครองธรรมหรือไม่​ อย่าเพิ่งเอาคำว่าก็มันทำกันมาตั้งแต่อดีตนานแล้ว​ จะมาร้องหาอะไรกันเวลานี้​ งานฉันก็มีอยู่เยอะแยะ​ ร้องกันอยู่ได้….

ตัวผู้เขียนคิดว่า​ การ​ Disrupt กฎกติกาที่ไม่มองในจุดที่ควรมองมานานมากแล้ว​ บัดนี้สมควรแก่เวลาที่จะเริ่มได้แล้วหรือไม่ครับ

เรามีการ​ Disrupt การค้ำประกันแล้ว
เรามีการ​ Disrupt การติดตามหนี้แล้ว
เรามีการ​ Disrupt การเสนอขายของแล้ว
เรามีการ​ Disrupt การคุ้มครองข้อมูลแล้ว
เรามีการ​ Disrupt การ…. มากมายแล้ว
เราจะยกเรื่องการ​ Disrupt กติกาการคิดเบี้ยปรับเงินเพิ่มกรณีผิดนัดชำระหนี้กันให้เหมาะให้ควร​ สมเหตุสมผล​ สมกับความผิดพลาดคลาดเคลื่อน​ อย่างเป็นสัดส่วน (Proportional response) อีกสักเรื่องดีไหมครับ… ไหนๆก็ไหนๆแล้ว​ เพราะเวลานี้คนเป็นหนี้​ อยู่กันไม่เป็น(สุข)​แล้วครับ
ขอบคุณครับ