ได้คืบก็มักจะเอาเพิ่มเป็นศอก
บทความของผมวันนี้เขียนขึ้นมาเพราะนึกถึงสำนวนไทยที่บอกว่า ยามใครต่อใครเดือดร้อน หลวงท่านก็จะยื่นมือออกมาช่วยเหลือ แต่พอได้รับความช่วยเหลือแล้วก็มักจะรุกคืบขอเพิ่ม ทั้งที่จริงแล้วความเดือดร้อนที่ว่ามันอาจเกิดจากการวางแผนผิด การบริหารความเสี่ยงน้อยไป การมีแผนฉุกเฉินรองรับสถานการณ์ที่ตนเองไม่ชอบน้อยไป หรือแม้แต่การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเก็งกำไรในธุรกิจที่ตนทำอยู่ สำนวนที่ว่าคือ “พอได้คืบ ก็มักจะเอาศอก”
เมื่อภาครัฐได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือสนับสนุนให้คนที่ประสงค์อยากจะได้บ้านหลังแรกตามกำลังรายได้ของตนโดยกำหนดว่าบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองลงมา พร้อมๆกับที่สถาบันการเงินของรัฐได้ออกโครงการให้กู้แบบผ่อนยาวๆ ดอกเบี้ยถูก มาช่วยคนที่อยากได้บ้าน ข่าวสารความเห็นที่ตามมาดูจะเข้ากับสำนวนไทยอย่างยิ่ง ความมีดังนี้ครับ
1.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่าการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้มีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม 2 มาตรการจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระรายจ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยหนุนตลาดในช่วงที่เหลือของปีต่อเนื่องไปยังปี 2563
แต่ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและกำลังซื้อที่ประสบปัญหาจากหนี้ครัวเรือน ดังนั้นจึงคาดได้ว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2562 นี้เพิ่มจาก 121,730 หน่วย (ม.ค.- ส.ค. 62) จะไปแต่ตัวเลขที่เคยได้ประมาณการไว้เมื่อกลางปีที่ 177,000 หน่วย หรือหดตัวลง 10% จากปี 2561
2.ฝั่งผู้ประกอบการก็ออกมาให้ข้อมูลต่อมาว่ามาตรการนี้มันก็ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะคนที่ซื้อบ้านเกิน 3 ล้านบาทมีส่วนหนึ่งเท่านั้น หลวงท่านควรทำมาตรการออกมาแบบไม่กำหนดราคาบ้านจะดีกว่า (คำขอเพิ่มส่วนที่ 1) และหาผ่อนคลายเรื่องมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ออกมาเรื่อง LTV ก็จะช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากมาตรการนี้ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งกู้ไม่ผ่านหรือกู้ได้ยากขึ้น (คำขอเพิ่มส่วนที่ 2)
3.ในส่วนของศูนย์ข้อมูลก็ออกมาผสมโรงเป็นข้อเสนอที่งดงามเสียกระไรนี่ ชนิดที่บทบาทหน้าที่ตนเองควรจะเป็น “ระบบส่งเสียงเตือนความเสี่ยง” กลับจะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มหรือไม่ กล่าวคือ มีข้อแนะนำไปยังคนให้กู้ที่ต้องนำเอาเงินฝากจากประชาชนมาปล่อยกู้ให้กับคนขอกู้ว่า ประวัติการก่อหนี้และการชำระหนี้นั้นตามที่มาตรฐานสากลทั่วโลกเขาระบุว่าให้แสดงกับสถาบันคนให้กู้ 3 ปี ย้อนหลังจากปัจจุบันนั้น สถาบันคนให้กู้ควรจะดูเพียง 1ปี ย้อนหลัง หรือดูการชำระหนี้ย้อนหลัง 12 เดือน หรือ 12 งวดก็พอในสินเชื่อต่างๆที่คนขอกู้มีอยู่เช่น
ดูประวัติการผ่อนรถ 12 เดือนย้อนหลังก็พอ
ดูประวัติการผ่อนสินเชื่อบุคคล 12 เดือนย้อนหลังก็พอ
ดูประวัติการชำระหนี้บัตรเครดิตย้อนหลัง 12 เดือนย้อนหลังก็พอ เป็นต้น คำถามมันมีอยู่ว่า สินเชื่อบ้านเวลาผ่อนมันยาวเป็น 5ปี 10ปี 15ปี เราจะดูพฤติกรรมความตั้งใจในการชำระหนี้เพียง 12 งวดย้อนหลัง มันจะเพียงพอเหมาะสมหรือไม่ เราควรปล่อยให้สถาบันเขาบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับแผนธุรกิจของเขาดีกว่าหรือไม่ เพราะผู้บริหารสถาบันคนปล่อยกู�
ผู้เขียนเป็นคนทำข้อมูล ทำสมุดพกให้สถาบันคนให้กู้ดู ยืนยันว่า ข้อมูลมีเท่าใด ยาวนานเท่าใด คนวิเคราะห์สินเชื่อต้องดูให้ครบถ้วน แต่การตัดสินใจต้องเป็นไปตามนโยบายการบริหารความเสี่ยง การกู้ได้ยากแต่มีคุณภาพมากขึ้น กับธุรกิจที่อาจลดลง และอาจไม่สร้างปัญหาความเสี่ยงในระยะยาวบนความมั่นคงของสถาบันคนให้กู้นั้นมันอยู่ที่จุดไหนก็ขึ้นอยู่กับระบบนิเวศของเรื่องนั้น ในฐานะคนทำข้อมูล ทำสมุดพก ก็ได้แต่บอกว่า การให้กู้กับใครนั้น มีความเสี่ยงเสมอ คนตัดสินใจให้กู้ต้องศึกษาข้อมูลทั้งหมดเท่าที่มี(มิใช่บางส่วน) ก่อนการตัดสินใจให้กู้หรือไม่ให้กู้
เอวังก็มีด้วยประการทั้งปวงดังที่เรียนมาข้างต้น กระทบกระเทือนไปบ้างต้องขออภัยนะครับ ผมเพียงใช้สิทธิ์ที่ถูกพาดพิงครับ