คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ
ยืนยันตัวตนจำเป็นบนโลกดิจิทัล
นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
หากเราย้อนกลับไปประมาณปลายปี 2559 ต้นปี 2560 เราจะพบว่า มีกระแสการตื่นตัวการให้บริการ แบบอะไรๆ ก็ต้องมีคำว่าดิจิทัล ต่อท้าย โดยเฉพาะบริการทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก สินเชื่อ การลงทุน การซื้อขายหลักทรัพย์ การประกันภัย ประกันชีวิต แล้วทุกฝ่ายไม่ว่ารัฐหรือเอกชนก็พบว่าหากจะทำ ให้สิ่งที่ต้องการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
โดยสถาบันการเงินทุกประเภทสามารถให้บริการผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์อัจฉริยะ โดยผู้รับบริการไม่ต้องมาแสดงตัวที่สาขาหรือจุดให้บริการ (Non face to face) จะเกิดขึ้นได้ยากหรือเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Digital ID platform มาใช้
ในที่สุดภาคเอกชนภายใต้การสนับสนุนภาครัฐจึงได้ร่วมจัดตั้ง นิติบุคคลโดยมีทุนจดทะเบียนรวม อยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งมี 7 องค์กรหรือสมาชิกในสมาคมวิชาชีพ ได้ร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่นี้ ซึ่งประกอบ ด้วย สมาคมธนาคารไทยที่มีสมาชิกเป็นธนาคารพาณิชย์ สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เป็นต้น
ในส่วนโครงสร้างการถือหุ้น จะประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์สมาชิกสมาคมธนาคารไทย ถือหุ้น 42.5% (จัดสรรเงินลงทุนตามขนาดสินทรัพย์) เครดิตบูโร 20% อีก 37.5% จะมาจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นต้น
นิติบุคคลนี้จะศึกษา พัฒนา จัดให้มี จัดสร้าง จัดตั้งระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะมีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลต่างๆ กับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการกงสุล กรมบังคับคดี กรมการปกครอง เป็นต้น
โดยกลุ่มที่จะมาเป็นผู้ใช้บริการ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย-ประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์ และภาคเอกชน ที่ต้องการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของลูกค้าที่มายื่นขอใช้บริการผ่านช่องทางต่างๆ
ตามแผนการที่กำหนดกันไว้มีเป้าหมายจะให้บริการได้ด้วยเทคนิคและข้อกำหนดของกฎหมาย บนข้อจำกัดของแหล่งข้อมูลตามที่มีอยู่และเป็นไปได้ภายในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี 2561 คาดกันว่าบริการแรกๆ คือ การเปิดบัญชีแบบดิจิทัล การให้ความยินยอมแบบดิจิทัล ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนแบบดิจิทัล (e-KYC)
การเชื่อมโยงที่สำคัญมากๆ คือการต่อเชื่อมกับระบบ Doing business portal ของภาครัฐภายใต้โครงการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ หรือเพื่อให้ประเทศได้รับการประเมินจากธนาคารโลกในรายงาน Ease of doing business ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น (อันดับปัจจุบัน คือ 26)
สำหรับความกังวลในเรื่องกฎหมายและข้อจำกัดต่างๆ ทั้งที่เห็นด้วยเห็นต่างของใครๆ หลายคนนั้น จะมีข้อสรุปจากทีมงานด้านกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการได้มาและการใช้ข้อมูลเพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตน
ผมได้รับทราบว่าขณะนี้ก็มีแผน การยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จในเดือน เม.ย. 2561 นี้ และจะเสนอให้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบเรื่องนี้พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ในส่วนของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในกระบวนการเสนอกฎหมายอยู่ในเวลานี้
สถานะปัจจุบันของโครงการมีดังนี้ครับ
1.การศึกษาทางเทคนิคกำลังจะเสร็จสมบูรณ์
2.การจัดตั้งนิติบุคคลจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือน ก.พ.
3.ข้อสรุปในโครงการนำร่องน่าจะจบในเดือน ก.พ.นี้ หรืออย่างช้า ในเดือน มี.ค.
4.ข้อกฎหมายก็ใกล้จบกันแล้วในโลกบริการดิจิทัลเราจำเป็นต้องมีระบบการพิสูจน์และยืนยัน ตัวตนแบบดิจิทัล เราจะได้เห็นกัน ในประเทศไทยครึ่งปีหลังนี้ครับ