เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : บ้างก็ว่าเสียน้อยเสียยาก​ เสียมาก​เสียง่าย​ บ้างก็ว่าให้เจ็บแล้วจบ…ใครจะรู้ว่าอันไหนถูก : วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564

บ้างก็ว่าเสียน้อยเสียยาก​ เสียมาก​เสียง่าย​ บ้างก็ว่าให้เจ็บแล้วจบ…ใครจะรู้ว่าอันไหนถูก

วิกฤติ​ทางสาธารณสุข​ จากภัยของโรคระบาดโควิด-19​ ทำให้ต้องลดกิจกรรม​ทางเศรษฐกิจ​ลงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากคนสู่คน​ เมื่อลดกิจกรรมท​างเศรษฐกิจ​มันก็ส่งผลต่อการทำมาหากิน​ เมื่อการทำมาหากิน​มันลดลง​ รายได้มันก็หายไป​ เกิดสิ่งที่เรียกว่า​ income shock หรือเกิดหลุมรายได้ ผู้คนบางกลุ่มรายได้ลดลง​ บางกลุ่มก็หยุดไปเลย​ บางกลุ่มก็ไม่เห็นหนทางข้างหน้าว่าจะกลับมาได้อย่างไร​ และจนถึงเวลานี้บางกลุ่มมันมีความหวัง​ หวังว่าวันนั้น​ วันนี้​ มันจะกลับมา​ ตัวผู้เขียนเองนั่งมองเอกสาร​ ข้อมูล​ และตัวเลขต่าง ๆ ที่มีผู้คนส่งมาให้ดู​ ยิ่งได้มาฟังเสียงคนที่รับผิดชอบจากธนาคารกลางในรายการสนทนาระหว่างธนาคารกลางกับผู้ให้บริการทางการเงินบนหัวข้อว่า​ การผลักดันให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันช่วยเหลือลูกหนี้หรือลูกค้าของตนด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืน​ ให้ลูกหนี้เจ้าหนี้ก้าวข้ามความยากลำบากในช่วงเวลานี้​ ไม่ใช่แบบปรับกันไป​ 2-4 เดือนแล้วก็มาทำกันใหม่​ ทำกันบ่อย ๆ​ ซึ่งมันไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ​แต่อย่างใด​ เหตุสำคัญน่าจะมาจากการมองว่า​รายได้จากกิจกรรม​ทางเศรษฐกิจ​จะเริ่มกลับมา คือกลางปี​ 2565​ เวลานั้นเราน่าจะอยู่กับไวรัส (ที่นักเศรษฐศาสตร์​บอกว่า คือการอยู่เป็นหลังจากการเอาตัวให้รอดจากการติดเชื้อจนระบบสาธารณสุข​เอาไม่อยู่) จากนั้นรายได้จะค่อย ๆ ขยับขึ้นตามเศรษฐกิจ​ที่เปิดกว้างขึ้น​ เปิดเพิ่มขึ้น​ จนมาอยู่ที่เดียวกับระดับก่อนการแพร่ระบาด (ปี​ 2562)​ คือในช่วงปลายปี​ 2566 ต้นปี​ 2567​ และท่านผู้อ่านต้องเข้าใจว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้นก็ไม่ใช่ระดับที่สูงแต่เป็นระดับที่มีปัญหา​มากมาย เช่น ปัญหาความเหลื่อม​ล้ำ​ ระดับที่เศรษฐกิจ​ยังไม่โตมากนัก​ มีปัญหาสารพัด​ มีการประมาณการว่าหลุมรายได้จากปี​ 2563​ จนถึง​ 2565 จะหายไป​ 2.6 ล้านล้านบาท​ แน่นอนว่าคนจะกลบหลุมรายได้นี้มีเพียงภาครัฐเท่านั้นที่ทำได้​ จะทำผ่านกลไกอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น​ การเยียวยาแก้ไข​ การอัดฉีดฟื้นฟู​ การลดหย่อนผ่อนผัน​ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ​ การใช้จ่ายงบประมาณ​ การลงทุนเพิ่ม​ ขณะที่ในฟากฝั่งด้านการเงินก็ต้องทำให้​ ธุรกิจที่ไปใด้ก็ให้เดินต่อไป​ ธุรกิจที่ติดปัญหา​หนี้สินก็ต้องเร่งปรับโครงสร้าง​หนี้​ ธุรกิจที่มีปัญหา​ฟ้องร้องก็ต้องไกล่ไกลี่ย ธุรกิจที่ยังพอให้สินเชื่อเพิ่มได้ก็ต้องทำกันไป​ ส่วนที่ต้องล้มหายตายจากก็ต้องยอม ๆ กันไป​ 

เราจึงเห็นการออกมาตรการตามอาการในแต่ละช่วงเวลา เช่น​ ช่วงแรกให้ชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดนัด​ เวลานั้นทุกลูกหนี้ได้สิทธิ์​ ต่อมาก็บอกว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้ไปคุยกันเองโดยมีมาตรการช่วยเหลือขั้นต่ำรองรับให้ว่าต้องช่วยกันไม่ต่ำกว่านี้​ ต่อมาก็เน้นอีกว่าต้องช่วยอย่างจริงใจ​ มีเกณฑ์​การคิดดอกเบี้ยช่วงฟันหลอในการชำระหนี้​ มีการกำหนดว่าอะไรไม่ถือว่าเป็นการผิดนัด​ เน้นว่าอย่าหาประโยชน์​จากความเดือดร้อน​ ต่อมาก็มาพูดถึงการแยกแยะว่าใครเป็นหนี้เสียเพราะผลกระทบจากโควิด-19​ ฝั่งธนาคารของรัฐก็ลากยาวการชะลอการชำระหนี้ไปจนสิ้นสุดปี​ 2564​ มีการประกาศชะลอการฟ้องร้อง​ การบังคับคดี​ ล่าสุดเมื่อมีการระบาดรอบสาม​ รอบสี่ที่มีเดลต้าเป็นพระเอกก็ชัดเจนว่าให้ทำ​ skip payment ไปอีก​ 2 เดือน​ แต่มันก็มีคำถามตัวโต ๆ ว่า​ แล้วจะยังไงต่อไป​ ทำมาตรการ​ช่วยเหลือทุกครั้งที่การแพร่ระบาดประทุขึ้นมามันจะไม่ไหวหรือไม่​ ทำแล้วมันเจ็บแต่ไม่จบหรือเปล่า​ ท้ายที่สุดจึงต้องมาเป็นมาตรการแบบแก้หนี้กันให้มันยั่งยืน​ แก้กันแบบทำแล้วอีกปีสองปีค่อยมาคุยกันดีหรือไม่ เช่น  

  1. มีการลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้บางส่วนเช่น​ ปรับโครงสร้างให้จ่ายหนี้เป็นขั้นบันได​ ค่อยๆเพิ่มขึ้นในตารางชำระหนี้ใหม่
  2. ถ้าลูกหนี้ทำได้ตามตารางการช่วยเหลืออันใหม่ได้​ เจ้าหนี้ยกหนี้ให้บางส่วนเช่น​ ยกดอกเบี้ยที่ค้างชำระบางส่วน​ ยกดอกเบี้ยที่ตั้งพักไว้บางส่วน​ ลดเงินต้นบางส่วนหากมีการนำทรัพย์สิน​ออกขายแล้วเอาเงินมาชำระหนี้เป็นก้อน​ได้
  3. มีการปรับโครงสร้างหนี้เก่าพร้อมกับการใส่หนี้ใหม่เข้าไปเพื่อเสริมสภาพคล่อง​ รักษาการจ้างงานเอาไว้เป็นต้น​ 
  4. ทางการจะให้สิ่งจูงใจเช่น​ กำหนดการกันสำรองตามเกณฑ์​การจัดชั้นที่ยืดหยุ่นขึ้น​ การดูใจลูกค้าที่ผิดนัดจนเป็นหนี้เสียไปแล้วหากมาปรับโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืนแล้วลูกค้าทำได้ภายใน​ 3 งวดก็ถือเป็นปกติไม่ต้องรอดูใจ​ 12 เดือนตามมาตรฐานการบัญชีสุดขอบฟ้า​ การกลับมาเป็นลูกค้าปกติก็เท่ากับสำรองจะลดลง​ ถ้าสำรองเกินไป​ ก็จะได้เอาไปเกลี่ยกับรายอื่นต่อไปหรือโอนไปเป็นสำรองทั่วไปแทนเป็นต้น​ 

มาตรการที่ออกมานี้ก็ต้องยอมรับว่า​ คนที่ยึดติดกับความมั่นคงแข็งแรง​แบบไม่สนใจชีวิตลูกหนี้ก็ถูกกันออกไปให้เงียบเสียง​ลงไปบ้าง เปิดทางให้แนวทางสายกลาง​แต่ยังอนุรักษ์​นิยม พวกอยู่บนความจริงของชีวิตได้มีส่วนในการนำเสนอทางออกบ้าง​ (พวกที่พูดเก่ง​ คิดสั้น​ สมาธิน้อย​ Lab แห้ง​ (ใช้ความคิดปกติแบบเดิมมาออกแบบแก้ปัญหาที่ไม่ปกติ บวกการฟังแต่ไม่ยิมได้ยิน) ไม่รู้จริงก็ได้แต่นั่งข้างเวทีอิจฉาที่นายไม่เรียกใช้เหมือนในอดีต ทำได้แค่ส่งเอกสารให้สื่อเอาไปลงข่าว)​ 

ในมุมของผู้เขียน​ มันยากถึงยากมากในการจัดให้เกิดความสมดุลระหว่าง​ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์​ของลูกหนี้​ แรงจูงใจ​ที่จะทำให้บิดเบือนไปจาก​ เป็นหนี้ต้องใช้หนี้​ สัญญา​ต้องเป็นสัญญา​ มาเป็น​ เป็นหนี้ไปเดี๋ยวก็มีเกณฑ์​ออกมาผ่อนปรนการใช้หนี้ เป็นหนี้เสียจะได้เงื่อนไขดีกว่าเป็นหนี้ดี​ หรือเลยเถิดไปทำให้วัฒนธรรม​ “ไม่กลัว​ ไม่มี​ ไม่หนี​ ไม่ให้​ อยากได้คืนก็ไปฟ้องเอา” แต่การที่กรรมการชุดก่อนฟังแต่เจ้าหนี้แล้วคิดชุดความช่วยเหลือมันก็เลยเถิดไป​ ตัวอย่างเช่น​ การกำหนดการชดเชยความเสียหายของเงินกู้ละมุนนุ่ม (Soft Loan) รอบ​ 1 โดยไปผูกสูตรกับหลักประกันเก่า​ มีทั้งสำรองเก่า​ สำรองใหม่​ แล้วชดเชยเป็นสัดส่วน​ จากข้อความที่สื่อสารว่าค้ำ​ 60-70% แท้จริงแล้วในการคำนวน​มันก็ได้สูงสุดแถว ๆ​ 40% เมื่อมาถึงวันนี้ก็มีการสื่ออกมาว่า​ ถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจที่เสี่ยงสูงกระทบมากอาจจะให้การค้ำประกัน​ 100% อันนี้ทางเจ้าหนี้​ ลูกหนี้กำลังรอเอกสารอย่างเป็นทางการ​ คงจะดูแต่เอกสารภาพอินโฟกราฟิก​อย่างเดียวไม่ได้แน่ ๆ​ 

ผู้เขียนสนับสนุนมาตรการที่ต้องการให้ปรับโครงสร้างหนี้แบบช่วยกันไปยาว ๆ​ ช่วยกันแบบจริงจัง​ จริงใจหรือไม่เข้าใจได้ว่าเป็นธุรกิจ​ รักแท้ในคืนหลอกลวงมีอยู่เสมอ​ ขอเพียงลูกหนี้จ่ายได้บนสภาพที่เขาประเมินว่าเขายังรักษาธุรกิจ​ รักษาคนงานเขาต่อไปได้​ และอยู่ห่างๆ กันให้มาก​ ไม่ต้องมาปรับกันบ่อย ๆ​ ต่างคนต่างอยู่จนถึงต้นปี​ 2567​ นะครับ

สุดท้ายขอฝากข้อความจากตัวแทนจากเอสเอ็มอีรายย่อย โดยคุณโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุ๊คไทม์ จำกัด สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ที่ให้มุมมองว่า ได้เห็นความพยายามในการบริหารประเทศ แต่บางเรื่องยังอาจพยายามไม่พอ การบริหารประเทศเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะส่งผลต่อคนไทยทุกคน จนไปถึงลูกหลานในอนาคต จึงต้องทำอย่างจริงจัง​ ทำให้เต็มที่ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง รู้สึกว่าบางคน​ บางท่านยังพยายามไม่พอ เมื่อมาเจอข้อจำกัดของระบบบริหารราชการเข้าไปอีก แน่นอนว่าผลักดันงานไม่ออกบ้าง ไม่ทันกับเหตุการณ์บ้าง ยิ่งถ้าทำแบบไม่จริงใจ เอาเรื่องการเมืองมาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเข้าไปอีก แม้เข้าใจได้ว่า ณ เวลานี้สถานการณ์ไม่ปกติ แต่ภาพที่คนค้าขาย​ คนตัวเล็กตัวน้อยอยากเห็น คือความจริงใจที่แท้จริง เพื่อให้ประเทศก้าวผ่าน ให้ผู้ประกอบการก้าวไปข้างหน้าได้ต่อ แม้อ่อนแรง​ จะหมดลม แต่ยังพอมีลมหายใจรวยรินอยู่บ้าง ได้เห็นรัฐบาลออกนโยบาย​มาตรการต่าง ๆ มากมาย แต่มันก็ยังไม่พอในความเห็นตน ตอนนี้มักเป็นการจัดการให้ผ่านในระยะสั้นและยังมีกลุ่มที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือได้ตามนโยบายอีกในหลายภาคส่วน​ 

เสียน้อยเสียยาก เสียมาก​เสียง่าย​ บ้างก็ว่าให้เจ็บแล้วจบ…ใครจะรู้ว่าอันไหนถูก​ วันข้างหน้าเมื่อผลออกมาแล้วเราจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร…