สู้ไปก็รอด ถอดใจก็ไปก่อน
บทความนี้ต้องขอยกเครดิตให้กับเพื่อนของผู้เขียน เขาเป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการในธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์มือสอง เป็น SMEs ตัวจริงเสียงจริง เป็นผลผลิตของเด็กจากรั้วมหาวิทยาลัยริมน้ำเจ้าพระยา ผ่านโครงการฝึกอบรมที่ถือได้ว่าดีที่สุดในยุคเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน โครงการธนาคารคู่บ้านคู่เมืองหรือ SIP ของธนาคารดอกบัว ณ ถนนสีลม โดยมีท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรีที่ถือว่าเก่งสุด ๆ ของเมืองไทย ดร.อำนวย วีรวรรณ เป็นผู้ก่อตั้งโครงการสมัยเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารพาณิชย์แห่งนั้น แน่นอนว่าตัวผู้เขียนและเพื่อน ๆ ซึ่งปัจจุบันต่างเติบโตอยู่ในแวดวงคนทำงานทั้งราชการและเอกชน เป็นทั้งลูกจ้างมืออาชีพ เจ้าของกิจการ ข้าราชการภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเป็นนักลงทุนอิสระ ต่างก็เจอกับวิกฤตการณ์มาไม่น้อย เราผ่านวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ผ่านสงครามสีเสื้อ (กีฬาสี) ผ่านวิกฤติทางการเงินปี 2551 ผ่านวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ ผ่านสถานการณ์รัฐประหาร และถึงตอนนี้คนรุ่นอายุ 50 กว่าปีจนถึงใกล้เกษียณอย่างตัวผู้เขียนและเพื่อนต้องมาเจอกับวิกฤติทางสาธารณสุขที่เป็นเหตุให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจและกำลังจะลามไปเป็นวิกฤติทางสังคม ทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อมองจากคนอายุผ่านครึ่งร้อยปีมาก็พอจะเห็นเค้าลางความเสี่ยงของทั้งระบบในสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่ลามลงมาถึงระดับรากฐานของครอบครัวในเวลานี้
เพื่อนของผู้เขียนได้กล่าวในถ้อยคำตอนส่งข้อความมาทักทายตอนเช้าวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ดังนี้
“ท่ามกลางการต่อสู้กับพิษโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจ คนไทยเราต้องเผชิญกับ…
*Fake News ที่วุ่นวายสับสน จากความหวังดีประสงค์ร้าย จากความไม่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี จากความเชื่อง่าย แชร์ไว ไม่คิดไตร่ตรองว่ามันน่าจะถูกหรือผิด เรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่า คนของเรามีจุดอ่อนจริง ๆ ตัวอย่างง่าย ๆ วัคซีนทุกยี่ห้อ มันออกมาในภาวะฉุกเฉิน มันป้องกันการเจ็บหนัก ผ่อนหนักเป็นเบา แต่เรื่องการป้องกันการติดเชื้อนั้นมันไม่มีใครรับรองได้ เพราะความสามารถของเชื้อมันรุนแรงขึ้นจากการกลายพันธุ์ คนส่วนหนึ่งก็ยังด้อยค่าของอันจำเป็นในชีวิต จนทำให้การบริหารจัดการความคาดหวังของผู้คนที่อ่อนไหวในเรื่องความเชื่อเละเทะอย่างไม่น่าเชื่อ
*Hate Speech ที่รุนแรงขึ้น รุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาจนกลายเป็นนวัตกรรมในการขับเคลื่อนความต้องการของปัจเจกหรือกลุ่มคน เวลานี้ในการสนทนากันทุกระดับตั้งแต่ครอบครัว สถานที่ทำงาน สังคมเพื่อนฝูง ต่างผลักดันความเชื่อของตนให้คนเห็นตรงกัน ต้องเห็นด้วยแบบไปไหนไปกัน ไปตายด้วยกันก็เอา ไปติดคุกด้วยกันก็ได้ ถ้าเป็นคนเห็นต่างก็ต้องจัดการให้จมดิน บี้ให้เละ ขยี้ให้ตายคามือถือ ถล่มให้จมดินในปฐพีดิจิทัล เห็นต่างคือศัตรู เวลานี้ถ้าจะขอโทษ ต้องเขียนลงเฟซบุ๊กต้องการให้ตนเองได้สิ่งใดต้อง Live สถานการณ์สด ๆ เสียง ภาพ ประกอบครบ วัฒนธรรมการขับเคลื่อนด้วยการด่าทอ ในระยะสั้นอาจได้ผล เพราะคนหน่วยงานที่ถูกด่านั้นตอบสนองและจัดให้ตามต้องการ แต่มันจะมีจุด ๆ หนึ่งที่ มันจะไม่ยอมกัน พร้อมจะหักหาญกัน ใช้กำลังทั้งกาย วาจา และใจที่โหดร้ายบดใส่กัน สุดท้ายคือการสูญเสียของคู่กรณี และก็เป็นเหมือนการดูหนัง ฟังเพลงของคนที่รับชม ซึ่งอาจจะไม่มีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน หรือมีส่วนได้เสียกับเรื่องนั้นๆ แต่มีลักษณะเป็นไทยมุงดิจิทัลที่ส่งเสียงเชียร์ สู้มัน ๆ ฆ่ามัน ๆ เพื่อนผู้เขียนตั้งคำถามว่า เราได้อะไรจากสิ่งนั้นจริง ๆ นอกจากความเกลียดชัง เราสามารถเกลียดชังคนที่เราไม่รู้จัก เกลียดคนที่เราไม่ได้เจอ ตัดสินเรื่องที่เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ได้แบบว่า ให้ประหารชีวิตคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ในชั่วขณะเลยหรืออย่างไร เราสามารถเปล่งเสียงด้วยการเขียนต่อว่าผู้อื่นได้ในพริบตาของการไถมือถือได้เลยหรืออย่างไร
1 สิงหาคม 2654 เริ่มต้นเดือนใหม่
ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ไม่เคยทำกัน เพราะเราต้องทำสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ในโลกที่ไม่เหมือนเดิม ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม เพราะอะไร ก็เพราะเราต้องการผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนเดิม ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ที่ยากกว่าที่เคยเจอมาครึ่งชีวิต
นอกเหนือจากการใส่หน้ากาก อยู่ห่างๆ ผู้คน ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อย ๆ แยกกันทานอาหาร งดการสังสรรค์หรือรวมกลุ่มกันแล้ว ในการปฏิบัติตน เรายังต้องทำอย่างน้อย 5 เรื่องในพฤติกรรมของตัวเรา อย่าไปเรียกร้องใครให้ทำครับ ทำด้วยตนเอง ใครไม่ทำก็ช่างเขา เรื่องที่ควรทำ และต้องทำในช่วง 2 เดือนข้างหน้าที่จะเป็นช่วงเวลาตัดสินว่า เราจะรอดไปด้วยกันในระยะสั้นหรือไม่ก็คือ
1. อย่ามักง่าย
2. อย่าเห็นแก่ได้
3. อย่าโลภมาก (บางท่านบอก อย่าหน้าด้าน)
4. อย่าประมาท
5. อย่าโอหัง
ต้องขอขอบคุณวิทยากรผู้ดำเนินรายการมืออาชีพรายการคุยได้คุยดี news and music ท่านผู้ร่วมรายการที่โทรเข้ามาที่หลากหลายมาก ๆ ที่ผู้เขียนได้ฟังเป็นความรู้มาโดยตลอด สถานการณ์ในสองเดือนข้างหน้า ตัวเลขของผู้ติดเชื้อในเวลานี้ยังน่าจะไปยังไม่ถึงจุดสูงสุด ยังไม่ใช่จุดที่ย่อตัวลงอย่างที่ใจเราหวัง เราจะไปถึง 100 ล้านโดสในสิ้นปีนี้ไหม สำหรับการฉีดวัคซีน เราจะเปิดบ้านเปิดเมืองใน 120 วันตามที่เราตั้งเป้าได้ไหม การส่งออกของเราในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบต้องเปิดต้องปิดกันอย่างไร 13 จังหวัดสำคัญของการควบคุมการแพร่ระบาดจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจว่าจะเติบโตได้แค่ไหน หนี้ครัวเรือนจะเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้ แทบทุกบ้านจะดูตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานทุกวันว่าเป็นเท่าไหร่ จำนวนผู้เสียชีวิตเป็นเท่าไหร่
“การจำศีล” ดูจะเป็นวิธีการที่มีผู้คนนำออกมาใช้มากที่สุด การอยู่ให้นิ่ง การใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในสิ่งอันไม่จำเป็น การงดกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยง การไม่เก็งกำไรหวังผลเลิศ การรักษาใจของคนงาน คนในองค์กร การทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด และการปรับตัวเองในทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบไม่พบเห็นต่อหน้า ท้ายสุดคือการรักษาความสะอาดตามคำแนะนำของแพทย์ที่ถูกต้อง ดังคำที่ว่า เวลานี้ให้ เก็บคองอเข่า ถ้าทำทุกอย่างแล้วเกิดการติดเชื้อก็ต้องรักษาและดูแลตัวเองให้ได้ (เตียงมันเต็ม โวยวายไปมันก็ไม่ได้ว่างให้เราได้) ชีวิต การงาน ต้องบริหารไปตามสภาพ ไปตามยถากรรม ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนอย่างแท้จริงแล้ว
สู้ไปด้วยกัน รอดไปด้วยกัน (พึ่งพากันยาก)
ใส่ใจก็ยังพอรอด ถอดใจก็ไปก่อน
สู้แบบ จำศีลนะครับ
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน