เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : เสียงอีกด้านจากฝั่งผู้คนที่ค้าขาย : วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564

เสียงอีกด้านจากฝั่งผู้คนที่ค้าขาย

ผู้เขียนไปเห็นข้อความใน​เฟซบุ๊กเพื่อนแท้ร้านอาหาร​ ซึ่งเขียนจั่วนำเกี่ยวกับการหาสภาพคล่องมายันกับสถานการณ์​วิกฤติ​โรคระบาดโควิด-19 ในเวลานี้​ จึงขอนำมาสะท้อนให้เห็นอีกด้านของคนค้าขายที่กำลังต่อสู้ในสนามรบความอยู่รอด​เวลานี้​ ขออนุญาต​ปรับถ้อยคำบางจุดให้สุภาพลงมานะครับ​ แต่ยังคงความหมายและเป้าหมายที่ต้องการสื่อสารแบบเดิม​ ข้อความคือ… 

เมื่อผู้ประกอบการอ่านข่าวนี้

เหมือนชีวิตมีความหวัง

แต่เมื่อเดินเข้าธนาคารเพื่อขอกู้

ชีวิตสิ้นหวังทันที❗

แต่ละนโยบาย แต่ละมาตรการ

สักแต่ออกมา แต่ไม่ลงไปดูหน้างานจริง

ว่าแต่ละแบงก์ แต่ละสาขา ทำตามไหม 

สุดท้ายก็ยังยึดเงื่อนไขเดิม ๆ 

คุณสมบัติเข้ม ๆ ที่ไม่มีทางกู้ได้

เช่น ดูสถานะทางบัญชี 

ดูทำไมก็รู้ว่าติดลบแน่ ๆ

บอกเครดิตบูโรผ่อนปรน

แต่ของจริงก็ยังเป็นด่านสำคัญ

อยากให้ลงมาดูว่า

ของจริงคนที่เดือนร้อนใครกู้ได้บ้าง 

ได้กี่ราย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้ผู้ประกอบการไปกู้นอกระบบบ้าง

กู้บัตรเครดิตบ้าง กู้สินเชื่อบุคคลบ้าง

ซึ่งบอกเลยว่า ตายแน่นอน

ยิ่งกู้ยิ่งตาย ดอกเบี้ยแพงรายรับไม่พอ

หมุนดอกจนทบต้นแน่ ๆ 

จริงใจหน่อย 

ฝ่ายนโยบายลงมาจากหอคอยกันหน่อย

มาดูหน้างานจริง ปัญหาจริง… 

เมื่อผู้เขียนตามลงไปอ่านคำแนะนำและความเห็นก็พบว่า​ มีทั้ง​บ่น​ เหน็บแนม​ กระแทก​ แซะ​ แต่ไม่ได้สนใจผ่านเลยไป​ มุ่งหาสิ่งที่ดี ๆในความเห็น​ ก็พบว่ามีความเห็นน่าสนใจบางท่านดังนี้นะครับ​ 

ท่านผู้แนะนำ​ : ถ้าจะเข้ามาช่วยกิจการให้เดินต่อกันได้​ เงื่อนไขควรจะเป็นว่า

-จดทะเบียน x ปี

-ยังเปิดกิจการอยู่

-เสียภาษีมาตลอด จนถึงเดือน xxxxx  

-เครดิตบูโร ไม่เสีย ตั้งแต่เดือน xxxxx

แค่นี้ก็พอ

รัฐหรือทางการเองก็มีข้อมูลก็มีครบอยู่แล้ว

ทั้งข้อมูลสถานะกิจการและ​ ข้อมูลเสียภาษี

แค่ บุคคล/บริษัท​ ยื่นเรื่องขอเข้าโครงการรับความช่วยเหลือ เซ็นเอกสาร 2-3 ใบ ให้ยอมเช็กเครดิตบูโร จบ​ ลดขั้นตอนเอกสาร

จะได้เดินหน้ากันต่อไวๆ

จากสิ่งที่ผู้เขียนได้อ่าน​ พอจะสรุปได้ว่า​ ถ้าจะช่วยร้านอาหารให้เดินธุรกิจต่อไปได้​ ต้องมองแบบนี้ก่อน

  1. ต้องช่วยให้รอดไปก่อน​ อย่าเพิ่งกลัวหนี้เสียที่จะเกิด​ เพราะคนค้าขายก็พยายามสู้ พยายามรักษากิจการสุดๆ​ ดังนั้นความเสี่ยงสูงแน่​ การจะคิดว่าจะให้กู้อย่างไรหนี้เสียจะเกิดขึ้นน้อยคงไม่ใช่คำตอบ​ โจทย์​คือจะต้องเสียหายเท่าใดถ้าจะช่วย​ ส่วนที่มีการค้ำประกันจากสินเชื่อจาก​บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จะเพียงพอหรือไม่

 

  1. เกณฑ์​การประเมินจะยึดเอาว่า​ เป็นคนในระบบที่มีการจดแจ้งกับทางภาครัฐหรือไม่​ มีการพิสูจน์​และยืนยันตัวตนหรือไม่ว่าใครเป็นใคร​ มีตำแหน่งแห่งที่ในการประกอบ​กิจการ​ มีประวัติการเสียภาษีในช่วงปีก่อนเกิดโรคระบาดหรือไม่​ เสียภาษีไปเท่าใดในช่วงก่อน​ แล้วเวลานี้ขายลดลงไปเหลือเท่าไหร่​ เอาแบบแสดงรายการเสียภาษีมาเป็นตัวตั้ง​ ไม่ใช่การพยายามเค้นคนขอกู้ว่า​ จะมีข้อมูล​มาสนับสนุนให้สบายใจว่าจะมีรายได้ในอนาคตมาพอชำระหนี้​ การพยายามประเมินสมมติ​ฐานการสร้างรายได้มันไม่มีทางทำได้เพราะเดี๋ยวมีมาตรการ​ปิด เปิด​ ที่ไม่แน่นอน

 

  1. เกณฑ์​ของการนำเอาข้อมูล​จากเครดิตบูโร​ไปใช้ในการพิจารณา​ ควรมอง​อย่างน้อย​ 3 จุดคืออย่างนี้นะครับ

3.1​ ในปี​ 2562 ทั้ง​ 12​ เดือนลูกหนี้รายนี้ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ในทุกบัญชีที่เขามีอยู่เลย

3.2 ในปี​ 2563 เขาเริ่มมีการค้างชำระเดือนไหน​ หลังการประกาศ  lock down ระยะหนึ่งหรือไม่​ หรือว่าผ่านระยะหนึ่งแต่มาเจอกับ mini lock down รอบเชื้อเดลต้าถึงเริ่มการค้างชำระ​ ทีนี้พอมีการค้างชำระแล้วมีการพลิกกลับมาบางเดือนหรือไม่​ หรือไหลเลยจากการค้าง​ เกิน 30 วันเป็น​ ค้างเกิน​ 60 วัน​ เป็นค้างเกิน​ 90 วันจนเป็น​ NPL​  ลักษณะ​การค้างชำระเป็นอย่างไร

3.3 สถานะในปัจจุบันของลูกหนี้รายนี้คืออะไรในบัญชีสินเชื่อที่เขามีอยู่เดิมก่อนการขอกู้ใหม่ เช่น​ 

(1)สถานะปัจจุบัน​ปกติ​ แต่เคยค้างในอดีตบางเดือน

(2)สถานะค้างเกิน 90 วัน

(3)สถานะมีการค้างชำระแต่ยังไม่เกิน​ 90 วัน

(4)สถานะอยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมาย

การกำหนดคุณ​สมบัติผู้ที่จะมีสิทธิสมัครเข้าโครงการจึงมีมิติเพียง​ มีตัวตนกับระบบทะเบียนภาครัฐ​ มีการยื่นเสียภาษีจะต่ำจะสูง​ จะถูกจะตรงไม่ว่ากัน​ และมีลักษณะการค้างชำระเป็นอย่างไรในปัจจุบัน​ 

พอผ่านเกณฑ์​ดังกล่าวแล้ว​ สามารถจะพิจารณาให้กู้ได้หรือไม่ว่า​ ให้กู้​ 50% ของค่าเช่าร้าน​ + 70% ของค่าจ้างคนงาน​ + 100% ของค่าน้ำค่าไฟฟ้า​ แต่ไม่เกิน​ 50% ของยอดภาษีที่จ่ายมาในช่วงปี​ 2562 + 2563 อย่างนี้เป็นต้น​ ท่านผู้อ่านคิดว่าจะใช้สูตรใดก็แล้วแต่​ จะขยับสูตรอย่างไรก็ได้ครับ​ เป็นแนวคิดให้ลองพิจารณากันคร​ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้พี่ ๆ ผู้คนที่ค้าขาย​ ประกอบธุรกิจร้านอาหารมาต่อว่าแต่ได้ช่วยกันส่วนหนึ่ง​ ซึ่งก็คงไม่ใช่ทั้งหมด​ แต่มันจะดีกว่าหรือไม่กับการทำสิ่งใหม่เพื่อหวังผลใหม่ให้เกิด​ มากกว่าความพยายามทำสิ่งเก่าซ้ำ ๆ​ ซ้ำ ๆ​ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์​แบบใหม่

ขอบคุณ​มากครับ