เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : ถ้าเราจะก้าวข้ามวลีที่กล่าวหากันว่า “ช่วยเจ้าสัว” เงินน่าจะถึงมือ​ SME ดีขึ้นไหม : วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563

ถ้าเราจะก้าวข้ามวลีที่กล่าวหากันว่าช่วยเจ้าสัวเงินน่าจะถึงมือ​ SME ดีขึ้นไหม

บทความของผู้เขียนวันนี้ต้องเรียนว่าคิดหลายรอบใจหนึ่งก็กลัวทัวร์ลงอีกใจหนึ่งก็มองว่ามันคือการลองเสนอแบบนอกกรอบแต่เมื่อตัดสินใจเอาความเดือดร้อนของคนค้าขายที่รอเงินสดมาหมุนเวียนแบบปลาหมอติดในดินที่กำลังจะแห้งผากและแหล่งน้ำบ่อน้อยก็ยังไม่มาเพราะประตูน้ำที่เขื่อนใหญ่ห้าพันล้านบาทยังหากุญแจประตูน้ำมาเปิดอยู่เวลานี้ข้อมูลที่ผู้เขียนขอยกมาและให้เครดิตกับสถาบันแห่งนี้คือ

1. ข่าวที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ระบุหนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SME​) อยู่ในโปรแกรมพักชำระหนี้กว่า 5.45 แสนล้านบาท เป็นลูกหนี้จัดชั้น Stage2 หรือหนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention : SM) ก่อนที่จะรับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งกลุ่มนี้ยังมีความยากลำบากในระยะต่อไปเหนื่อย ซึ่งต้องติดตามใกล้ชิดว่าจะเป็นจะเป็นหนี้เสียหรือไม่ เหตุเพราะในจำนวนนี้ มีทั้งรายที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และรายที่ไม่ได้รับผลกระทบ และหวังใจว่ารายที่ไม่รับกระทบจากโควิด-19 จะกลับมา

2. ข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งล่าสุด ได้ส่งสัญญาณเร่งให้สถาบันการเงินรีบดำเนินการเชิงรุกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้รายย่อยและภาคธุรกิจโดยพิจารณาจากความสอดคล้องกับกระแสรายได้ในบริบทใหม่ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โควิด-19​ มีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้นในประเทศไทยและยังมีเรื่องการเร่งใส่สภาพคล่องให้กับธุรกิจและกิจการต่างๆตามเป้าหมายของนโยบายภาษาชาวบ้านคือเงินสดถึงมือคนที่กำลังจะหมดแรงในการหมุนเงินเวลานี้เพราะระยะเวลาการแช่แข็งหนี้หรือ​ Debt payment holiday กำลังจะหมดและจบสิ้นในเดือนกันยายนนี้​ (สำหรับสถาบันการเงินที่ไม่ได้ขยายโครงการถึงต้นปี​ 2564) ซึ่งเป็นความท้าทายมาก

3. มาตรการร่วมใจพี่ใหญ่ช่วยน้องๆ ตัวจิ๋วท่านผู้บริหารสถาบันวิจัยกล่าวได้อย่างน่าคิดว่าในประเทศยังมีสภาพคล่อง และถ้าคนยังต้องกินต้องใช้ หากสามารถกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้ ก็จะดี และธุรกิจรายใหญ่ถ้าเข้ามาช่วยธุรกิจรายย่อย โดยเฉพาะการจ่ายเงินสดทันที เมื่อได้รับสินค้าจากรายย่อยขึ้นหิ้งขายหรือเมื่อส่งของถึงโกดังรอกระจายสินค้าเหตุเพราะหากธุรกิจรายใหญ่มีศักยภาพในการขอวงเงินกับธนาคารได้ดีกว่ามาก

คำกล่าวที่น่าคิดคือ​ “ถ้าเริ่มจากผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือระหว่างซัพพลายเช่นกัน เช่น กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ และอีกหลายกลุ่มในหอการค้า ถ้ารายใหญ่รับสินค้าแล้ว จ่ายเงินสดให้ซัพพลายเชนทันที อาจจะหักเงิน 2% (ภาษาบัญชีคือส่วนลดเงินสด)​โดยไม่ต้องมีเทอม 120 หรือ 180 วัน ทำแบบนี้ รายย่อยจะรอดได้… ” เพราะไม่ต้องรอเช็คค่าขายของได้เงินมาหมุนเร็วขึ้น

กลไกแบบนี้น่าคิดนะครับเพราะเจ้าหนี้การค้าของธุรกิจขนาดใหญ่คือคนตัวเล็กตัวน้อยถ้าเงินสดถูกอัดฉีดเข้าไปตรงกลางแบบไม่ต้องรอวันที่​ 120,​ 180 หลังการส่งมอบของแต่ได้เงินเลยไม่เกิน​ 3วันหลังการส่งของเงินมาจากไหนผู้เขียนคิดว่าก็ให้สถาบันการเงินปล่อยกู้​ Soft​ loan ให้รายใหญ่แล้วคุมการกระจายเงินผ่านระบบ​ Business cash management หรือการจ่ายเช็ค การโอนเงินเพราะกิจการรายใหญ่มีระบบบัญชีเจ้าหนี้รายย่อยที่ต้องจ่ายอยู่แล้วคนที่กำกับดูแลก็เข้ามาตรวจสอบการจัดสรรและการกระจายเงินผ่านข้อมูลได้ตลอดเวลา

สิ่งที่ต้องทนคือจะมีมนุษย์พันธุ์แซะพันธุ์ที่หาเรื่องมาบอกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ได้กำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้บ้างล่ะวาทะกรรมแบบนี้ก็เหมือนอุ้มเจ้าสัวบ้างล่ะพวกชอบพูดแต่ไม่รับผิดชอบไม่บอกว่าแล้วจะให้ทำอย่างไรพวกที่ปั้นปัญหาในทุกทางออกพวกนักร้องในทุกแห่งหนคือสิ่งที่จะต้องก้าวข้ามให้ได้ เพราะถ้ายังติดกันตรงนี้คนที่เขาค้าขายโดยสุจริตก็จะเหี่ยวแห้งตายลงไปประเด็นสุดท้ายกลไกส่งผ่านเงินนี้ไม่ต้องให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำเงินกู้ให้รายใหญ่เก็บกำลัง บสย. ไปช่วยตอนรายย่อยต้องกลับมาเร่งขยายตัวเพื่อสร้างรายได้มาจ่ายต้นและดอกเบี้ยในช่วงเวลาต่อไปดีกว่าครับ

ขอชื่นชมผู้บริหารหนุ่มสถาบันนี้นะครับถ้าเราคิดแบบเดิมก็ได้คำตอบแบบเดิมถ้าเราต้องการผลแบบใหม่ก็ต้องคิดแบบใหม่มาร่วมกันออกจากกับดักมายาคติทางวาจาของมนุษย์เจ้าปัญหากันเพื่อคนที่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจไทยดีกว่าไหมครับ