เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : โรคห่ากินปอดมันไปตามคน​ เราควรจัดการรายคนดีกว่าปิดสถานเพื่อยังทำมาหากินได้ : วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564

โรคห่ากินปอดมันไปตามคน​ เราควรจัดการรายคนดีกว่าปิดสถานเพื่อยังทำมาหากินได้

ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านข้อคิดข้อเขียนของท่านอาจารย์หมอ​ ที่ให้ข้อคิดน่าน่าสนใจมาก ๆ ว่าสนใจการแยกแยะว่าบุคคลท่านใดมีความเสี่ยงเพื่อดำเนินการออกจากคนหมู่มากที่ยังไม่มีประเด็นเพื่อให้การทำมาหาเลี้ยงชีพเดินหน้าปะทะปะทังไปได้ดีกว่าหรือไม่​

ท่านอาจารย์​หมอ​ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว ว่า ปิดสถานที่ ปิดเมือง ปิดจังหวัด ปิดประเทศ ทำง่าย แต่ธุรกิจพินาศ ทางเลือก ปิดเป็นคน ๆ ที่ติดเชื้อไม่ดีกว่าหรือ ยังไม่ถึงเวลาปิดประเทศ

มาตรการ 5 วันตรวจเลือด 2 ครั้ง นี่คือปิดเป็นคน ๆ ไม่ใช่ปิดจังหวัด​ ปิดพื้นที่ ปิดประเทศ หากเรายอมใช้มาตรการเชิงรุกโดยภาครัฐดำเนินการอย่างเต็มที่​ เชื่อว่าการปิดแบบสร้างผลกระทบรุนแรงคงไม่เกิดขึ้นแน่นอน​ ผมอ่านแล้วมีความเห็นด้วย​ และขอนำข้อมูล​มาถ่ายทอดต่อ​ เพื่อให้ท่านผู้อ่านลองคิดต่อ​ ยามนี้เราต้องช่วย ๆ กัน​ มาตรการที่อาจารย์​หมอกล่าวถึงมีดังนี้ครับ

1.กลุ่มคนเสี่ยง เช่น แรงงานต่างชาติไม่ว่าจังหวัดใดก็ตาม ต้องแยกห่างจากกันเป็นรายบุคคล ​(ย้ำว่ารายบุคคล)​

2.การจัดการให้มีการแยกตัวจากกันนั้นยังคงต้องกระทำจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่า คนนั้นไม่มีการติดเชื้อแพร่เชื้อจริง (ไม่ให้สร้างเรื่องขึ้นมาอีก)

3.เริ่มกระบวนการคัดกรองแบบใหม่ (ผู้เขียน​ขอย้ำว่าคิดใหม่​ ทำใหม่)​ หมด เจาะเลือดปลายนิ้ว 2 ครั้ง ครั้งที่สองห่างจากครั้งแรก​ 5 วัน แต่ในระหว่างนั้นยังคงต้องแยกตัวระยะห่าง ถ้าผลเลือดเป็นลบในครั้งที่สอง โอกาสที่จะติดเชื้อน้อยลง จนอาจไม่มี (ผู้เขียน​ การแยกปลาออกจากน้ำคัดกรองแบบชัดเจน)​

4.ในกรณีที่ผลเลือดเป็นลบเพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดกันไม่ให้เชื้อออกจากตัวให้บังคับใส่หน้ากาก​ มีการกำชับระยะห่างและต้องล้างมือต่อเนื่องต่ออีกจนครบ 14 วันแต่ไม่ถูกกักเดี่ยว (มาตรการบังคับขั้นพื้นฐาน)​

5.ในกรณีที่ผลเลือดเป็นบวก ให้เข้ากระบวนการแยงจมูกตรวจละเอียด 14 วัน 3 ครั้งคือ วันที่ 1 7 และ 14 จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่พบเชื้ออย่าหมดจด

6.มีการแยกตัวออกจากคนอื่น ไม่ต้องแยงจมูกหาเชื้อใด ๆ ทั้งสิ้น มีคนส่งน้ำส่งข้าวให้ สังเกตอาการหากมีอาการต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล (เฝ้าระวังใกล้ชิด)​

7.นี่คือมาตรการเชิงรุกจริง ๆ การตรวจปลายนิ้วน่าจะมีต้นทุนครั้งละ 100 บาท ต้องเป็นมาตรการเชิงรุก ขยายทั่วประเทศ รวมคนไทยและไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่ไปสมุทรสาคร​ แต่ไปให้ครอบคลุมมากที่สุด

8.​เงินที่จะเอามาสนับสนุนการตรวจเชิงรุก หากใครมีกำลังทรัพย์ออกเอง เช่น​ โรงงาน กิจการห้างร้าน​ ถ้าไม่มีเราต้องช่วยกันสมทบทุนอาจใช้เงินผ่านมูลนิธิ โดยอาจไม่ต้องเบียดงบกลางของประเทศ

อาจารย์​หมอสรุปไว้ตอนท้ายน่าสนใจว่า… ที่กล่าวมานี้แน่นอนไม่ใช่ 100% รับประกัน แต่แน่นอนว่าไม่ถึงต้องปิดประเทศ และถ้าเรามีวินัยร่วมด้วย

ในฐานะคนที่นำมาถ่ายทอดต่อต้องขอบอกว่า​ คิดใหม่​ ทำเร็ว​ มีวินัย​ ใจมั่นคง​ ยืนให้ตรงกับความเป็นไป​ ไทยชนะแน่นอนครับ