เริ่มต้นปีใหม่… จะอย่างไรก็จะต้องการกู้เงิน
บทความของผู้เขียนวันนี้ขอเริ่มจากมีผู้คนส่วนหนึ่งได้โพสต์ข้อความเพื่อขอความเห็น คำแนะนำ หรือคำชี้แนะจากเพื่อนๆในสื่อสังคมออนไลน์ ข้อความที่ถามในช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่ชุดนี้มีความน่าสนใจในหลายประเด็น เหมาะควรกับการนำมาเสนอข้อคิดเห็น แต่อย่าถือเป็นข้อแนะนำเลยนะครับ เผื่อว่าใครบางคนที่กำลังเจอเรื่องราวที่ใกล้เคียงกันจะได้นำไปใช้ประโยชน์กันต่อไป
คำถามที่เป็นกระทู้เริ่มต้นว่า
… เนื่องจากผมวางแผนจะกู้เงินจากธนาคารเพื่อไปซื้อบ้าน พอได้ไปเช็กเครดิตบูโรมาด้วยตัวเองจากศูนย์ตรวจเครดิตบูโรที่บีทีเอสอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พบข้อมูลในรายงานเครดิตบูโรว่า
1.ยังมีภาระผ่อนบ้าน เดือนละ3,000 กว่าบาท และ
2.มีข้อมูลรายงานการปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิต ของธนาคารอีกแห่งหนึ่งแต่ก็ได้ผ่อนชำระตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวตรงกำหนดมาตั้งแต่ปี 2560
3.ส่วนสินเชื่อบ้านตามข้อ 1. ตอนนี้ได้ไปปิดยอดหนี้แบบปิดบัญชีแล้วมาเมื่อวานนี้ และ
4.กำลังจะรวมเงินอีกก้อนไปปิดยอดปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตตามข้อ 2.ให้หมดเรื่องหมดราว
คำถามคือ ไม่ทราบว่าพอที่จะมีธนาคาร ใดรับเงื่อนไขคนยื่นขอกู้ที่มีประวัติการปรับโครงสร้างหนี้บัตรเครดิตแต่ว่าได้ปิดบัญชีแล้วอยู่บ้างไหมครับ และคำถามที่อยากรู้มากคือหลังจากปิดบัญชีปรับโครงสร้างหนี้แล้วต้องรอระยะเวลานานแค่ไหน มีคนบอกว่าระยะเวลาดูใจอาจจะนานเป็นปีเลยอ่ะครับ ผมทำงานบริษัทครับ เงินเดือนรวมพิเศษก็ได้เดือนละ 60,000 บาท รบกวนใครพอจะมีคำแนะนำด้วยนะครับ… โพสต์เมื่อ 4 มกราคม 2563
ในความเห็นของผมขอตอบดังนี้นะครับ
1.ถ้าปิดบัญชีสินเชื่อบ้านที่มีอยู่แล้ว การยื่นขอสินเชื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโดอีกครั้ง ควรต้องสอบถามเงื่อนไขให้ชัดเกี่ยวกับการวางเงินดาวน์นะครับว่าจะโดน 5%หรือ 20%ตามมาตรการป้องกันการเก็งกำไรของทางการหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่ามาตรการ LTV
2. จากนั้นให้ถามต่อว่าบ้านหรือคอนโดที่เราอยากได้นั้นจะต้องผ่อนเดือนละเท่าไหร่ เพื่อเอามาเปรียบเทียบกับรายได้(ซึ่งอาจจะถูกหักรายการที่ไม่แน่นอนออกไป) เราลองเทียบดูว่า ยอดผ่อนต่อเดือนเทียบกับรายได้มันคิดเป็นกี่ % ถ้ามันเกิน 50%แล้วหล่ะก็ ก็ต้องคิดว่ามันจะต้องบริหารอย่างเข้มงวดเพราะมันยังอาจจะมีหนี้อย่างอื่นในอนาคตที่จะต้องผ่อนรายเดือนเช่นหนี้บัตรเครดิต(อีกครั้ง)หรือหนี้ผ่อนของจากสินเชื่อส่วนบุคคล และถ้ามันเกิน 70%ของรายได้ คงต้องบอกว่ายากที่จะได้รับอนุมัติในเวลานี้
3. คนที่มีบัญชีปรับโครงสร้างหนี้ในประวัติของตนเองนั้น
3.1 หากปิดบัญชีแล้วรหัสสถานะบัญชีจะเปลี่ยนเป็น ปิดบัญชี และข้อมูลที่ระบุวันที่ปรับโครงสร้างหนี้ หรือ TDR date ก็จะหายไป อันนี้จะเหมือนกับปิดบัญชีปกติ
3.2 แต่ถ้าหัวบัญชีนั้นชื่อ บัญชีปรับโครงสร้างหนี้แล้วล่ะก็ แม้ว่าจะปิดไปแล้ว ก็ต้องเตรียมตอบคำถามนะครับว่าเหตุใดจึงต้องไปปรับโครงสร้างหนี้
3.3 แต่ถ้ายังไม่มีการปิดบัญชีปรับโครงสร้างหนี้ แม้ว่าผ่อนได้ดีไม่มีผิดนัดชำระ คนให้กู้จะดูว่า บัญชีนี้เปิดมานานหรือยัง เทียบเวลาตั้งแต่วันที่เริ่มสัญญาปรับโครงสร้างหนี้จนถึงปัจจุบันนี้เกินกว่า 12เดือนหรือ 24เดือนแล้วหรือยัง ยิ่งถ้ายังไม่เกิน 6เดือนเทียบกับปัจจุบันก็ต้องเรียนว่าค่อนข้างยากนะครับในการได้รับอนุมัติ จะยกเว้นเรื่องเวลาดูใจพวกนี้ก็ต้องพึ่งธนาคารของรัฐที่เรียกว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจนะครับ เงื่อนไขจะผ่อนปรนกว่า แต่จะใช้เวลานานนิดนึงนะครับ
4.สุดท้ายครับ คิดภาระที่ต้องผ่อนทุกสิ่งอย่าง ย้ำนะครับว่าอย่าหลอกตัวเอง เอายอดหนี้ครับเทียบกับรายได้ คำนวณออกมาเป็น%ครับว่าเกิน 70%ของรายได้ไหม ถ้าเกินก็เหนื่อยครับ
5.สุดท้ายของสุดท้ายเอายอดผ่อนทั้งปวงลบออกจากรายได้ ซึ่งจะได้เป็นเงินเหลือในการใช้จ่ายรายเดือน เอาตัวเลข 30วันไปหารดูครับ นั่นแหละครับคือเงินรายได้สุทธิจากหนี้ทั้งปวงที่เราจะใช้ยังชีพ กินอยู่ต่อวัน ถ้าตัวเลขมันคือ 300บาทต่อวัน ชีวิตเราก็จะเท่ากับ “ทำงานหาเงินเป็นมนุษย์ออฟฟิศหากแต่ใช้ชีวิตดั่งกรรมกรรายวัน”
เป็นข้อมูลเอาไปลองคิดต่อนะครับ
ขอบคุณครับที่ติดตาม