เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : หากคนรุ่นฟันปลอมกับคนรุ่นฟันน้ำนม​ จะฟังคนรุ่นฟันแท้ที่อยู่ตรงกลางพูดบ้างได้ไหม : วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563

หากคนรุ่นฟันปลอมกับคนรุ่นฟันน้ำนม​ จะฟังคนรุ่นฟันแท้ที่อยู่ตรงกลางพูดบ้างได้ไหม

ผู้เขียนได้พบข้อเขียนของคนรุ่นฟันแท้อายุประมาณ​ 27​ ปี ทำงานมาสี่ห้าปี​ จบการศึกษา​ดี​ เคยไปโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ​ เป็นลูกคนชั้นกลางพ่อทำงานออฟฟิศ แม่ทำการค้าขายเป็น​ SME ขนาดจิ๋ว​ บรรพบุรุษ​ก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน​ เขาได้พูดถึงความในใจแบบยอมรับว่ามีโอกาสทัวร์​ลงใน​เฟซบุ๊กแต่เขาก็ยอมนำเสนอข้อคิดความเห็นบางท่อนบางตอนดังนี้

.. เรารู้ว่าหลายคนในสังคมเป็นคนมีสิทธิพิเศษ (privilege) มากๆ จนไม่ต้องสนใจสภาพการเมืองเวลานี้แต่ก็ยังอยู่สบาย ไม่ต้องออกมาพูด​ มาขยับก็ได้ นั่นก็อาจเพราะความเชื่อว่า “ทำตัวเราให้ดีก็พอ” ไม่คิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับตัวเอง เลือกจะไม่ให้เกี่ยวได้ หรือ “เท้าไม่ต้องติดพื้น” ไม่ต้องเดินเหินบนฟุตพาทแล้วน้ำเน่ากระฉอกใส่ ไม่ต้องเห็นภาพคนแก่นั่งขอทานตามสถานีขนส่งสาธารณะต่างๆ ในระยะประชิดให้ปวดใจ ไม่ต้องมาคิดว่าจะตกงาน หรือ ไม่ตกงานเพราะเป็นลูกหลานเจ้าของกิจการ มีที่ดิน มีทรัพย์สินสำรองไว้ยามฉุกเฉินอย่างเพียงพอ

เมื่อใดที่ได้มานั่งทบทวน privilege ในชีวิตที่ตนเองมีแต่คนอื่นไม่มีมันจะทำให้เข้าใจได้ว่า “ทำไมคนอื่นเขาต้องออกมาเรียกร้อง” และมีข้อเสนอมากมาย​ อยากลองให้คิดตามเป็นข้อๆ ดังนี้

1. สังคมไทยที่เราเติบโตมามักสอนให้เรามองอะไรแบบโทษปัจเจก โทษว่าคนจนเพราะจนเลยเครียด เครียดเลยกินเหล้า ไม่อดออม ภาพจำของคนมีฐานะหลายคนรอบตัวเรา คือ คนจนเป็นคนไม่ขยัน คนมีฐานะดีกว่ามักชอบสั่งสอนเขา แต่เราไม่สอนภาพกว้างให้เกิดความรู้และเข้าใจ เรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมว่าครอบครัวจำนวนมากหาได้ไม่พอใช้จะเอาที่ไหนไปออม?

2. หลายคนพูดกับเราเสมอมาว่าใครบริหารประเทศนี้ก็ไม่ดีทั้งนั้นให้ “เริ่มที่ตัวเรา” หากแต่เราเริ่มที่ตัวเรามานานเกินไปแล้ว เราทำงานเกือบสี่ปี​ เราจ่ายภาษี ช่วยเหลือคนที่ลำบากรอบตัว แต่ให้เริ่มที่ตัวเราอีกสัก 100 ครั้ง มันก็พังเหมือนเดิมถ้าสังคมเราไม่ปรับขยับไม่ปรับโครงสร้างให้รองรับคนจำนวนมากขึ้นที่กำลังลำบากของสังคมเสียที มีคนทำธุรกิจร่ำรวยคนนึงเคยบอกเราว่า “จะทำเพื่อสังคมทำไม รอรวยก่อนสิค่อยทำ ค่อยเอาเงินไปแจก ไปทำบุญ” ฟังแล้วมันก็อึ้งนะเหมือนเขามองการให้เป็นแค่การกุศล​ ทั้งที่ถ้าเราทำให้คนลืมตาอ้าปากได้ ธุรกิจเขาก็จะยิ่งมีฐานลูกค้ามากขึ้นหรือไม่

3. ดังนั้นก่อนจะบอกใครให้ขยัน ให้สู้ ให้พยายาม ต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่าถ้าไม่ได้เกิดในครอบครัวตัวเองที่มีฐานะร่ำรวยทุกวันนี้ก็อาจไม่ได้มีความสุขสบายรายล้อม ยอมรับก่อนว่าที่ได้มาเพราะว่าโชคที่เกิดมาในบ้านที่มีทรัพยากรมากพอบวกการมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม

4. โครงสร้างสังคมมันกดทับคนให้คนจำนวนมากต้องยากจนตลอดชีวิตแบบที่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยห่างกันมากขึ้นทุกๆ ที เราเคยอ่านงานเขียนชิ้นนึงจำไม่ได้ว่าที่ไหนแต่เค้าสรุปความเท่าเทียมไว้ว่า “ความเท่าเทียมต้องไม่ใช่แค่การขีดเส้นหาค่าแรงขั้นต่ำ (ว่าคนไทยได้ 15,000 บาท คือโอเคแล้วพอแล้ว) แต่คือการขีดเส้นจากคนที่รวยที่สุดในสังคมลงไปถึงคนที่จนที่สุดแล้วดูว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งพื้นฐานในสังคม อย่างการศึกษา และขนส่ง�

5. คนรุ่นฟันปลอม​ รุ่นฟันแท้เชื่อจริงหรือไม่ว่าเด็กคืออนาคตของชาติ เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า​ เด็กฉลาดชาติเจริญ ถ้าเชื่อว่าเขาคือ อนาคต​ เขาคือคนที่จะมารับผิดชอบสังคมในอนาคต​ แล้วทำไมถึงเกี่ยงงอนที่จะฟังเสียงของพวกเขาเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น​ เวลาเห็นเราๆ ท่านๆ เห็นข่าวเด็กวัยรุ่นกระทำความรุนแรง​ อยากให้ลองคิดว่าที่เด็กหลาย ๆ คนเค้าต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรมไทยมันเพราะว่าเด็กไม่รักดี หรือ เพราะเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นเลยว่าความหมายของคำบอกว่า “ดี” มันคืออะไร​ เป็นไปได้ไหมว่าเขาที่สร้างความรุนแรงนั้นอยู่ในระบบการศึกษาที่เขาพ่ายแพ้ และอาจอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บ่มเพาะเขาขึ้นมาจนเป็นแบบนี้

ผู้ใหญ่หลายคนทนไม่ได้กับการที่เห็นเด็กเล็กถูกทำร้าย​ แต่กลับบอกให้จัดการเลยกับเด็กรุ่นฟันน้ำนมที่เวลานี้ลุกขึ้นตั้งคำถามที่กระอักกระอ่วน​ใจที่จะตอบ​ บางทีลึกๆ แล้วมันคือคำถามเดียวกันที่ตนเองก็ไม่ชอบ​ และอยากตั้งคำถามเช่นเดียวกัน​ ตัวอย่างเช่น​ ระบบการให้การศึกษาแก่ผู้คนมันจะดีกว่านี้ได้หรือไม่​ ระบบการขนส่งมวลชน​มันควรมีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมกว่านี้ไหม ทำไมเราทำฟุตพาท​ให้ดีเพื่อให้คนเดินที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ เป็นต้น​

คนรุ่นฟันปลอมอาจต้องตอบคำถามว่าเรากำลังจะส่งมอบสังคม​ ค่านิยมแบบไหนให้คนรุ่นฟันแท้​ และจะอยู่​ร่วมกันคนที่มีความคิดแตกต่างหลากหลายโดยไม่คิดใช้อารมณ์​ คำพูด​ กำลัง​กาย หรืออาวุ​ธ​ หักหาญ​เอากับคนที่เห็นต่างได้หรือไม่

ผู้เขียนคิดว่า​ ในบทสรุปของการเดินทางต่อไป​ ในท่ามกลางความโกลาหล​ของ​ ปัญหาสุขภาพ​อนามัย​ ปัญหาการทำมาหากินการสร้างรายได้​ ปัญหาภาระ​หนี้สิน​ ปัญหาการรักษางานเอาไว้​ ซึ่งเป็นเรื่องระดับปัจเจก​ ปัญหาด้านค่านิยมก็เป็นอีกมิติหนึ่งที่เราๆ ท่านๆ ไม่ว่าวัยไหน​จะต้อง

(1) ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกัน​ไม่ว่าจะเป็น​ ใครทำกับใคร​ ยิ่งพวกบ่างช่างยุ​ ยิ่งพวกชอบทำให้สังคมเคลื่อนไหวในทิศทางตามความเชื่อตัวเอง​ เจ้าพิธีในการจัดคนโน้นมาชนคนนี้​ ซึ่งเราจะพบว่ามีการจัดสร้างพิธีกรรมมากมายทั้ง​ Online/Offline ในเวลานี้

(2) เราไม่สามารถเงียบต่อความเหลื่อมล้ำ ต่อการย่ำอยู่กับที่หรือถอยหลังกันได้อีกแล้ว ขอให้ทุกท่านที่มีศักภาพและอยู่ในฐานะที่ดีกว่าคนอื่นตามที่ตนได้รับมาไม่ว่าโดยครอบครัว​ โดยธุรกิจ​ โดยอำนาจของกฎหมาย​ หากท่านมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ตรงไหนก็ตาม​ ลองคิดดูว่าท่านอยากอยู่กันในสังคมแบบไหน อยากส่งต่ออะไรให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต​ เพราะเราไม่มีสิทธิทำให้สังคมมันแย่ลง​ ด้อยลงกว่าตอนที่เราได้รับมาจากคนรุ่นก่อน

ผมมีข้อความหนึ่งจากหนังสือ​ ปัญญา (ฝ่า)​ วิกฤติ​ ศิลปะแห่งการรับมือกับวิกฤติ​ในช่วงเว​ลาท้าทาย​ที่สุด​ของชีวิตที่ระบุว่า​ “เห็นภาพใหญ่​ กำหนดทิศ​ ตัดสินใจ” มาฝากยังทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์​อ่านบทความนี้ครับ