เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : ทางตันที่สี่แยก : วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563

ทางตันที่สี่แยก

ใครก็ตามที่เติบโต​ขึ้นมาภายใต้แรงผลักดันความโลภ​ โกรธ​ หลง​ อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่อุดมไปด้วยกิเลส ยึดถือเอาเป้าหมายเป็นคำพูดสวยๆ ว่ามันคือการสร้างงาน​ สร้างอาชีพ​ ได้สร้างและสะสมความมั่งคั่งให้กับตนเอง​ ครอบครัว​ กิจการ​ สร้างความมั่นคงในทางทรัพย์สิน​เพื่อเป็นหลักประกันว่า “จะเสียหาย​ ทุกข์​ยากเป็นคนสุดท้าย” แล้วแปลงสิ่งเหล่านี้มาเป็นความชอบธรรม​ผ่านกฎกติกาของสังคมที่ตนเองและกลุ่มของตนเองคิด​ พัฒนาขึ้นมาเพื่อการเข้าถึงทรัพยากร​ธรรมชาติ​ เข้าถึงระบบการศึกษา​ เข้าถึงระบบการกำกับดูแล​ ระบบการตัดสินว่าใครผิดใครถูก​ ถูกเรื่องไหน​ ผิดเรื่องอะไร​ ความแตกต่างในจุดนี้ได้สร้างช่องว่างที่เรียกว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกับคน​ กลุ่มคนกับกลุ่มคน​ ขยายตัวขึ้นมาทุกวันทุกปี​ ไม่ว่าจะวัดด้วยสิ่งใด​ จนวันหนึ่งเราก็ตื่นขึ้นมาจากที่นอนอันสุขสบายแล้วพบว่า​ สี่แยกแห่งความเป็นอยู่ได้เกิดเหตุ​อุดตันจนปริวิตก​ไปว่า​ ฉันยังจะรักษาสิ่งนี้ได้ต่อไปอีกหรือไม่​ เพราะสิ่งที่มาตามทางแยกมันเจรจาได้ยาก​ รับมือได้ยากมากๆ​ สิ่งที่มาในแต่ละแยกคือ

1.แยกที่หนึ่งคือการแพร่ระบาดของไวรัส​ ที่มีความเป็นตายเป็นเดิมพัน​

2.วิกฤติทางเศรษฐกิจ​ หนักเบาก็ตามแต่โครงสร้างว่าออกแบบกันแบบไหน​ ไปขึ้นกับปัจจัยทางสาธารณสุขกันขนาดไหน

3.วิกฤติทางการเมือง​ มีความคิดเห็นในทางการเมืองที่แตกต่างหลากหลาย​ ซ้ายสุดขั้ว​ ขวาตกขอบ​ แรงงานเป็นใหญ่​ ทุนต้องมาก่อน​ คนที่อยู่ตัวอยากอยู่แบบเดิม​ คนที่เห็นความลำบากในอนาคตอยากเปลี่ยนแปลง​ มันก็มาปะทะกันในทุกมิติในเวลาปัจจุบัน​ ยิ่งเป็นยามโพล้เพล้​เวลานี้ที่เมืองกรุง​ ยิ่งให้ประหวั่นพรั่นพรึง​ ยกเว้นพี่ๆ รถขายของกิน​ CIA ที่มองเป็นโอกาสถ้าไม่โดนแกงไปเสียก่อน​ ที่สำคัญคือผู้คนในระบบการเมืองของกรอบปัจจุบันจะ​ (1) เข้าอกเข้าใจหรือไม่ว่าเรากำลังเจออะไรกันอยู่​ (2) พี่ๆ เหล่านั้นในระบบจะหาทางออกจากปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่หรือจะยิ่งทำให้ปัญหามันไปไกลจนยากแก้ไขและ (3) กลไกหรือระบบที่พี่ๆ วเขาอยู่กันนั้นเป็นกลไกที่เรียกว่าอำนาจในการกำหนดชะตาชีวิตเป็นของผู้คนจริงหรือระบบตัวแทนยังมีประสิทธิภาพ​หรือไม่หรือเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้น

4.ความเจริญงอกงามทางเทคโนโลยี​และความเร็วของข่าวสารทั้งจริงและเท็จมันวิ่งเข้ามาปะทะผู้คนทุกเพศทุกวัย​ จนเปรียบเทียบได้ว่ามันแทบจะกลืนกินชีวิตจิตใจแถมครอบงำวิญญาณเลยทีเดียว​ ระบบความคิดแบบ​ 1,2,3..เป็นขั้นตอนไม่สามารถประมวลผลที่ดีที่สุดออกมาได้​ มันมาพร้อมกัน​ ความยืดหยุ่นในการตั้งรับ​ ซึมซับในความเห็นต่างแทบไม่เกิด​ อะไรที่แตกต่างหลากหลาย​ คนรับข้อมูล​เลือกที่จะไม่รับด้วยการใช้นิ้วมือไถทิ้งออกไป​ ตัวอย่างการเห็นข้อมูล​ live สดของคนจังหวัดหนึ่ง​ แล้วโทรเข้ารายการที่กรุงเทพฯ​ แล้วเล่าเหตุการณ์​ที่สี่แยก​ จากนั้นก็วิจารณ์​ ต่อด้วยสรุปความเห็น​ สุดท้ายคือเสนอทางเลือกจากชุดความคิดตนเองตั้งแต่จุดเริ่มต้นก่อนดู​ live สดเสียอีก​เราเรียกปรากฏการณ์​นี้ว่า​ Jump to conclusion at the starting point

คำถามที่สำคัญคือ​ เราจะออกจากสี่แยกที่ตันนี้ไปได้อย่างไร​ มีผู้เสนอเป็นแนวทางในการเดินออกจากทางตันดังนี้

1.คนที่คิดแบบติดในอดีตต้องทำตัวเป็นเด็กลง​ คิดว่าถ้าตนเองเป็นเด็กแล้วเขาคิดอะไรกัน​ ไม่โกรธ​กับสิ่งที่เขาตั้งคำถาม

2.คนที่ต้องการอนาคตในมุมแบบตนและต้องการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากปัจจุบันต้องใช้จุดแข็ง​ความสุภาพ​ ไม่ก้าวร้าว​ ด่าทอ​ เก่งจริงต้องอ่อนนอกแข็งใน (ความคิด)​ ไม่ใช่หักเอา​ หักเอา​ คือต้องมีอายุในทางความคิดมากขึ้นแม้ตัวตนจะเป็นเด็ก

3.ใช้สิ่งที่เรียกว่า​ ความยืดหยุ่น​ ไม่มีกรอบ​ ไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน​ แต่เริ่มจากเป้าหมายสุดท้ายที่ตรงกันมากที่สุด​ แล้วเริ่มคุยจากจุดสุดท้ายที่คล้ายกัน (ไม่ต้องตรงกันเป๊ะ)​ มาหาจุดเริ่มต้นที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข​ มันจะไม่มีวันสำเร็จถ้า​ใคนหนึ่งเห็นปัญหาในทุกทางออก​ กับอีกคนเห็นทางออกในทุกปัญหา​ แล้วทั้งสองมาคุยกันแบบถ้าเอาอย่างเธอ​ ฉันไม่ทำ​ หรือต้องเอาอย่างฉัน​ โดยเธอเริ่มก่อน​ น่าเสียดายที่วันนี้เรามีแต่นักรบปัญญาชน​ แต่เราอาจจะมีปัญญาชนคนเสนอทางออกน้อยไป​ ดังข้อความของพี่ที่เคารพท่านหนึ่งของผู้เขียนได้กล่าวไว้ในข้อความที่เผยแพร่​ต่อสาธารณะ​ความว่า​

… สำหรับขบวนการปัญญาชนที่ก้าวหน้าในเวลานี้ก็กระโดดเข้าสนามต่อสู้ประยุทธ์กับรัฐ และต่อสู้กับ “ฝ่ายตรงข้าม” แม้จะเห็นอนาคตวิบัติอยู่รำไร แต่

ในยามนี้ยากที่จะมีใครถอนตัวจากสนามรบได้แล้ว

จึงเหลือแต่สถาบัน องค์กรสาธารณะทั้งที่เป็นรัฐ (กสม. สสส. สช. สกสว. พอช….) สถาบันวิชาการ สื่อมวลชนหรือองค์กรประชาสังคมที่ไม่ว่าจะทำงาน

สาธารณะในแง่มุมไหน แม้จะขีดวงว่าตัวเองไม่เกี่ยวกับการเมืองใดๆ แต่เราไม่สามารถนั่งพิงเก้าอี้หรือเกาะขอบสนามอยู่ได้อีกต่อไป ควรจะต้องลุกขึ้นผลัก

ดันให้เกิดข้อตกลง กระบวนการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติให้ได้เดี๋ยวนี้ ก่อนความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวยกระดับจนกลายเป็นความวิบัติ…

ขอขอบคุณข้อมูลจาก​ FB: Kritsada Boonchai

มีแต่นักสันติ​วิธีแล้วโพล้เพล้​นี้ที่น่าจะพอเป็นแกนนอนพาแกนนำออกจากสี่แยกที่ติดขัดจนเศรษฐ​กิจ สังคม​ การเมือง​ กลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง… เป็นที่ทุกขเวทนา​นัก