เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า : วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563

จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า

ตั้งแต่เราได้เจอกับไวรัสตัวใหม่ที่ชื่อ​ COVID​-19 นับแต่เดือนกุมภาพันธ์​ 2563 ยันมาจนเดือนกันยายนปีนี้​ และคาดว่าจะต้องอยู่กับเขาแบบยังไม่มีวัคซีน​ จนมีการค้นพบวัคซีน​ และมีการผลิต/แจกจ่ายกันจนทั่วโลก​ 7.6 พันล้านคน​ อาจต้องใช้เวลาถึงปลายปี​ 2565​ ขณะที่สำนักวิจัยของธนาคารกรุงไทยระบุว่า​ การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอาจต้องใช้เวลา​ 3-4 ปี​ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกกับเราว่าต้องอยู่กับเขาน่าจะ​ 3 ปี​ จนเมื่อเร็วๆ นี้เรารักษาสถิติไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ​จบที่​ 101 วัน​(ไม่ทะลุสถิติ​ 105 วัน) นักเศรษฐศาสตร์​ที่มีชื่อเสียงบางท่านบอกว่า​ เราจะค่อยๆ ฟื้นตัวหากไม่มีการระบาดใหญ่ในแบบทุลักทุเล​ ประการสุดท้ายการขยายตัวของเศรษฐ​กิจโลกน่าจะไม่เกิน​ 3% การค้าการขายน่าจะไม่คึกคัก​ คำว่าการปรับตัวอาจไม่เพียงพอไปแล้ววันนี้​ มีรุ่นพี่ผู้เขียนซึ่งเก่งมากๆและเป็น​ CEO ของอุตสาหกรรม​ขนาดใหญ่ของประเทศบอกว่า​ ในชีวิตนี้ไม่นึกว่าต้องสั่งหยุดสายการผลิตของโรงงานเพื่อป้องกันชีวิตคนงานทั้งหมดท่ามกลางเสียงคัดค้านก่อนมีการปิดเมือง​ พอปิดเมืองจริง​ คนที่ค้านต่างกลับมาเห็นด้วยและยอมรับความจริง​ รุ่นพี่ท่านนี้บอกกับผมว่า​ เรากำลังอยู่ในโลกใบใหม่​ ที่ไม่เหมือนเดิม​ และจะไม่มีวันเหมือนเดิม​ เราทุกคนเหมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสที่ค้นพบโลกใหม่​ ต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่​กับชนพื้นเมืองแบบไม่ต้องฆ่าฟันกัน​ เมื่อไปถามผู้คนระดับผู้นำองค์กร​ หรือผู้บริหารระดับสูง​ขององค์กร​ จะพบคำตอบว่า​ บริหารงานแบบรักษาตัวตามอาการ​ ไม่วางแผนยาว​ เน้นการปฏิบัติที่ปลอดภัยของคนในบังคับ​บัญชา​พร้อมกับการไปสู่เป้าหมายเดือนต่อเดือน​ เดินทีละก้าว​ กินข้าวทีละคำ​ ประการสุดท้ายแกบอกกับผู้เขียนว่า​ จะเกษียณ​ก่อนกำหนดแน่นอน​ เพื่อเอาเวลาที่เหลืออยู่​ในชีวิตออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยให้ครบทุกจังหวัดตามความฝันที่เคยตั้งเป้าหมายไว้เมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ​ ผู้เขียนถามว่าทำไมจะต้องรีบขนาดนั้น​ คำตอบคือ​ ชีวิตยังมีอะไรต้องทำมากกว่าการแบกภาระในหน้าที่การงานอันเป็นสิ่งสมมติ​ ตอนนี้เราเจอ​ COVID-19 เดี๋ยวเราต้องเจอ​ COVID-22​ หรือ​ COVID​-25​ แน่ๆ ไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง​ สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่ยังมีภาระต้องแบกหาม​ ยังต้องดำเนินชีวิตกันต่อ​ ฝภายใต้สถานการณ์​ โรคซ้ำกรรมซัด​ วิบัติเป็น​ มิเห็นที่พึ่งพาจะอาศัย​ ก็ต้องขออนุญาต​หารือว่า​ แนวทางที่จะเดินเผชิญกรรมต่อไปในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปที่เรียกว่า​ ชีวิตวิถีใหม่​ หรือชีวิตในนิยามใหม่​ หรือชีวิตในความปกติใหม่​ ก็ต้องทำอย่างน้อย​ 3-4 อย่างดังนี้

1.ทิ้งนิสัยเก่า​ นิสัยที่บอกว่าอะไรก็ได้​ นิสัยที่ยังไงก็ได้​ นิสัยที่ว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้​ นิสัยที่ว่าการเรียนรู้ใหม่จะทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย​ ต้องเลิกครับ​ ยืนยันว่าต้องเลิก​ คำว่าต้องกันไว้ก่อน​ ชิงลงมือก่อน​ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน​ อดทนไม่กินใช้สิ้นเปลืองเพื่อเก็บออมมาใช้ยามจำเป็นต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง​ จะต้องถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติตนประจำวันเลยทีเดียว

2.ความคิดเก่า​ต้องเลิก​ ความคิดที่ว่าข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนต้องจบ​ หรือเชื่อว่าคนมีประสบการณ์​ในอดีตจะเกิดความสำเร็จ​ในอนาคตไม่จริงอีกต่อไป​ หรือเชื่อพี่เถอะเรื่องแบบนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้น​ หรือการดูถูกคนรุ่นใหม่​ คนทำงานใหม่ว่า​ พวกคุณ​จะไปรู้อะไรกับโลกในปัจจุบัน​ ที่จริงแล้วคือคนพูดนั้นได้ตกยุคไปแล้ว​ การเล่นไลน์​เป็น​ การยกเอาเรื่องในยูทูปมาบรรยาย​ว่าตนเองรู้เรื่องนั่นนี่แล้วจะถือว่าตนเองทันยุคทันสมัย​ คงจะเป็นได้เพียงการสะกดจิต​ตัวเองว่าฉันเก่ง​ ฉันรู้​ เท่านั้น​ ความคิดใหม่วันนี้น่าจะเป็นว่า​ กระบวนการคิด​ การเรียนรู้​ที่จะคิดต่อจากคนคิดต่างโดยไม่ติดกับดักความคิดเดิมๆ ของตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด​ เพราะเรากำลังอยู่ในโลกที่เรา​ “ไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร”

3.ธรรมเนียมเก่า​บางสิ่งอาจต้องเลิกโดยสิ้นเชิง​ เช่น ธรรมเนียมการประชุมที่ขาดการโต้แย้ง​ ฟังหัวโต๊ะอย่างเดียวต้องเลิก​ คนที่อยู่หน้างาน​ อยู่กับลูกค้าคือคนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดว่า​ CEO ควรต้องสั่งการอะไรออกไป​ งานจึงจะจบแบบสวยๆ​ การศึกษาที่ได้รับจากสถาบันในอดีต​ เกรดหรือปริญญาในอดีตอาจไม่สำคัญกว่าจินตนาการของคนที่อยู่หน้างาน​ หรือคนที่พบเจอ​ pain point ของลูกค้า

4.วัฒนธรรมเก่าต้องเลิก​ นายว่าขี้ข้าพลอย​ เชื่อผู้ใหญ่หมาไม่กัด​ เดินตามหลังผู้ใหญ่สบายกว่า​ ได้ครับพี่​ ดีครับนาย​ สบายครับผม​ เหมาะสมครับท่าน​ ต้องเลิกและต้องเลิกให้ได้ในองค์กร​หากคิดจะรอดจากไวรัสที่กำลังทำร้ายการมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ​ระหว่างกัน​ วัฒนธรรม​ที่เลวร้ายที่สุด​ ที่จะต้องรีบดำเนินการทำลายให้หมดสิ้นก็คือ​ ทำมากผิดมาก​ ทำน้อยผิดน้อย​ ไม่ทำก็ไม่ผิด​ หายใจทิ้งไปวันๆ​ แบบไม่คิดอะไร​ มีหัวเอาไว้คั่นหูสองข้างไม่ให้ติดกันก็พอ​ คงยากที่จะรอดจากการมีชีวิตการงานในอนาคต​ ตัวอย่างเช่น​ ถึงวันนี้การทำงานจากที่พักอาศัย/บ้าน​ อาจให้ประสิทธิภาพ​และลดต้นทุนขององค์กร​ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ​ ความเชื่อที่ว่าถ้าอยู่บ้านแล้วไม่มีทางจะมีสมาธิทำงานได้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว​ การประชุมที่คณะกรรมการมีทั้งที่มาประชุมและที่ประชุมทางไกลเข้ามาได้กลายเป็นวัฒนธรรม​การทำงานวิถีใหม่ไปแล้วเวลานี้

จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า​ เพราะถ้าเราติดกับดักในความคิด​ ความรู้สึก​ ความรู้เรื่องตามที่เชื่อๆ กันมา​ สอนๆ กันมา​ นอกจากเราจะไม่ได้คิดใหม่ในโลกใหม่​ เราอาจจะต้องอยู่กับความทุกข์​ในโลกเก่าใบเดิม​ ที่ที่เคยให้ความสุขกับเรายามที่ไม่ต้องปรับปรุง​ เปลี่ยนแปลงตัวเอง​
ขอบคุณ​ครับ