เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : สถานการณ์ธุรกิจตอนนี้ กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง โรคซ้ำกรรมซัด : วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563

สถานการณ์ธุรกิจตอนนี้ กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง โรคซ้ำกรรมซัด

บทความวันนี้เกิดขึ้นจากการนั่งใคร่ครวญ​ 2 ประการ​คือ

1.เราได้ผ่านการอยู่กับไวรัส COVID-19 ที่ระบาดมาได้ครึ่งปีแล้ว​ หนทางข้างหน้ายังไม่รู้จะเป็นไปอย่างไร​ การปลอบใจ​ตัวเองว่า​ อึดอีกนิด​ เดี๋ยว​พอได้วัคซีน​แล้ว​ อะไรๆ ก็คงจะทยอย​กลับคืนมา​ ต้องยืนอยู่ให้ถึง​วันนั้นทั้งนี้ทั้งนั้น​ก็เพื่อกำหนดการก้าวเดินต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ในระยะสั้น

2.เรายังจะพึ่งพาและเชื่อในมาตรการต่างๆ ของทุกภาคส่วนที่ลงมาในระบบเศรษฐกิจ​ได้มากน้อยเพียงใด​ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสภาพคล่อง​ ที่ควรต้องมีการจัดสรร​ เติมเต็มและจัดให้มีการกระจายให้ทั่วถึง​ หรือต้องมีกลไกที่ทำให้คนที่อ่อนกำลัง (ไม่ใช่อ่อนแอ​ สู้ไม่ไหว)​ ได้เดินไปต่อ​ คล้ายกับน้ำบ่อน้อยข้างศาลาริมทางยามเดินทางในหน้าร้อนจากเมืองน้อยสู่เมืองใหญ่​ เพราะที่เราๆ ท่านๆ เห็นอยู่ในเวลานี้​ ธุรกิจมันมีลักษณะเป็นปลาหมอแถกเหงือกในโคลนเลนเพื่อตะกายไปให้ถึงน้ำบ่อน้อยก่อนถูกพระอาทิตย์​เผาไหม้จนหมดแรงสิ้นใจ

จากสองประเด็นข้างต้น​ ก็มีคนส่งภาพหอยทากที่ดันไปเดินบนใบมีด จะเดินหน้าก็จะถูกบาด​ จะถอยหลังก็ถูกบาด​ ยิ่งถ้าไปแบบเร็วๆ แผลอาจจะลึกจนเจ็บสาหัส​ แต่ถ้าไม่รีบหลุดออกจากการที่ท้องอยู่บนใบมีด​ ก็จะยิ่งเสี่ยงเช่นกัน​ อาการกลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง​ โรคซ้ำกรรมซัด​ วิบัติ​เป็น​ มิเห็นที่พึ่งพาจะอาศัย​

มีนักคิดหลายท่าน​ หลายคนกล่าวไว้ว่า​ ถ้าเศรษฐกิจหรือธุรกิจคิดแบบเก่าคือพยายามเดินหน้าบนใบมีดแบบตัวเบาที่สุด​ ซึ่งก็เหมือนกับการใช้นโยบายหรือการออกมาตรการแบบเดิมๆ​ ตามแนวคิดเดิม​เช่น​ เติมเงินผ่านระบบธนาคารเพื่อไปสู่ภาคธุรกิจจริงในยามที่​ ซัพพลาย​ถูกบังคับให้งดบริการ/งดการเสนอขายด้วยเหตุผลทางสาธารณสุข​ ขณะที่ดีมานด์​ก็ลดลงเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจ​หายไป​ รายได้ก็หายไป​ หนี้ยังเท่าเดิม​ เงินที่จะเอามาจับจ่ายใช้สอยก็ลดลงไป​ เงินที่หลวงท่านส่งให้มาก็ไม่พอใช้ในการดำรงชีพเมื่อเทียบกับภาระต่างๆ ที่ไปก่อมาในอดีต​ ดังนั้นนักคิดหลายท่านจึงบอกว่า​ ถ้าหอยทากหรือธุรกิจยอมเสี่ยงเกาะด้านข้างใบมีด​ แล้วพยายามพยุงตัวไปข้างหน้าจะพอได้ไหม ซึ่งก็เปรียบเหมือนการตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ​ ทำในสิ่งที่เวลาปกติไม่มีใครเขาทำกัน​ เพราะอะไร​ ก็เพราะปัญหามันต่างจากเดิมที่เคยมีประสบการณ์​และทฤษฎี​เก่าๆ รองรับ​ อีกประการหนึ่งคือใครๆ ก็ทราบว่าถ้าเราทำแบบเดิมๆ​ แล้วจะให้เกิดผลใหม่ๆ​ มันไม่น่าจะเป็นไปได้​

แนวคิดแนวทาง​ รูปแบบมาตรการที่จะทำเช่น​
1.ตั้งกองทุนมาปล่อยเงินทั้งให้เปล่าและสินเชื่อดอกเบี้ยถูกมาก​ ระยะคืน​ 7-10 ปี​ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำ​ และรัฐต้องรับความเสียหายแน่ๆสัก​ 30-40% ขึ้นไป​ ใครจะตำหนิว่าเดี๋ยวก็จะเหมือนหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในอดีตหรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ​ ตอนนี้ก็ดูเรื่องกฎหมายอย่าให้เข้าตัวว่าทำให้รัฐเสียหายด้วยความประมาทก็พอ​ เพื่อกันบรรดานักร้องต่างๆ

2.ตั้งกองทุนมาซื้อหนี้ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าต้องใช้เวลานานสักระยะหนึ่งถึงจะได้กลับมาทำธุรกิจเพื่อดึงเอาหลักประกันมาดูแลไม่ให้มันเสื่อมสภาพ​ แช่แข็ง​และเก็บบ่มไว้กับ​ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) จากนั้นพอฟ้าเปิดก็ให้ตัวเจ้าของกิจการหรือลูกหนี้มาซื้อคืนหรือไปกู้มาซื้อกิจการกลับออกไปด้วยราคาบวกค่าเสียโอกาสพอสมน้ำสมเนื้อ​ เหตุเพราะถ้าแช่อยู่บนงบดุลธนาคารก็จะถูกแรงกดดันให้ต้องดำเนินการทางกฎหมาย​บังคับเอากับหลักประกัน

3.สร้างเส้นทางการฟื้นฟูกิจการรายย่อยหรือลูกหนี้ธุรกิจที่ดำเนินการในลักษณะบุคคลธรรมดา​ เพราะในต่างประเทศเขาไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นจึงจะฟื้นฟูกิจการได้​ บุคคลธรรมดา​น่าจะทำได้​ แต่ต้องมีตัวบทดัดหลังว่าในกรณีที่​พบว่ามีการฉ้อฉล​ พฤติกรรม​โกงเจ้าหนี้ก็ให้มีโทษในทางอาญาหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์​เด็ดขาดทันทีเป็นต้น​ เพื่อให้คนตัวเล็ก​ตัวน้อยที่ไปได้ยากเวลานี้มีระยะเวลา​ Automatic stay แก้ไขฐานะธุรกิจตน​ จนกลับมาชำระหนี้ได้​ มีเวลาหายใจจากการถูกเข่ากดคอโดยเจ้าหนี้ได้​ เหตุ​ผลอีกประการหนึ่งคือ​ การประนอมหนี้ก่อนพิจารณาคดี​ในศาล​ เวลานี้ก็มีจำนวนมากพอควรแล้ว​ อีกทั้งการประนอมหนี้นั้นเจ้าหนี้อาจมีอำนาจต่อรองเหนือลูกหนี้ระดับหนึ่งในโลกความเป็นจริง

4.สร้างโรงพยาบาลรักษาหนี้​ เพื่อให้การแก้ไขหนี้​ NPL​ ครอบคลุมสินเชื่อบ้าน​ สินเชื่อรถยนต์​ สินเชื่อส่วนบุคคล​และสินเชื่อบัตรเครดิต​แบบเบ็ดเสร็จ​ โดยแบ่งลักษณะเคสที่จะเข้ามาตามอาการคือ​ มีปัญหาปกติสามารถแก้ไขได้แต่ต้องใช้เวลานาน​ แบบต้องพบแพทย์​เฉพาะทาง​ แบบที่ต้องอยู่ห้อง​ CCU / ICU ที่ต้องมีการตัดสินใจในระดับเลิก/ไม่เลิกการดำเนินกิจการ​ เป็นต้น​ บรรดานักวางแผนกิจการ​ นักวางแผนทางการเงิน​ จะได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือมากขึ้น​ (มีเงื่อนไขห้ามทำธุรกิจขายประกัน​ เชียร์​ซื้อหน่วยลงทุน​ ถ้าใครทำก็ให้ถอดใบอนุญาต)​

5.สร้างงานล้านตำแหน่งที่เรียกว่า​ อาสาสมัคร (อสม.) ดิจิทัล คือให้จ้างงานน้องๆ ที่กำลังจบทั้งสายอาชีพและสายสามัญออกมาทำงานให้กับถิ่นเกิด​ ทำให้คนในท้องถิ่นตนทำงานด้วยความชาญฉลาดมากขึ้นจากเทคโนโลยี​ดิจิทัล​ เป็นคนช่วยทางการเมื่อต้องมีการลงทะเบียนแบบไม่พบเห็นต่อหน้า​ ออกสำรวจเพื่อเก็บข้อมูล​ด้านต่างๆ ส่ง​ War room ส่วนกลาง เป็นต้น

6.จัดงบประมาณ​ให้กับ หน่วยตาวิเศษเห็นนะ​ เพื่อสอดส่องดูแล​ คอยเตือน​ คอยติดตาม​ การลงทุนโครงการต่างๆ ในพื้นที่​ คล้ายๆ แหม่มโพธิ์​ดำในระดับตำบล​ แค่คอยส่งเสียงว่าใคร​ ทำอะไร​ กำลังคิดจะทำอะไร​ ในพื้นที่​ แบบมีประเด็น​ควรจะสงสัย​ ถ้าจะเปรียบเทียบคือ​ สำนักข่าวอิศราในระดับตำบล​นั่นเอง

ยังไม่นับรวมการออกพันธบัตรชั่วนิจ​นิรันดร์​ออกขายเพื่อรองรับความเสียหายโดยมีอายุ​ 100 ปี เป็นต้น​

แน่นอนว่าในแต่ละเรื่องมันมีประเด็นถกเถียง​ แต่ถามว่า​ เถียงกันแล้วไม่ทำ​ หรือไม่เถียงกันแต่ไม่ทำ​ หรือเถียงกันแล้วทำแบบเก่า​ ตอนนี้เรามีกี่ทางเลือก​ กำลังของหอยทากที่ต้องเดินหน้าแต่ด้วยวิธีการห้อยเกาะด้านข้างมีดแล้วเดินหน้าไปมันพอจะนำไปคิดต่อแล้วรีบตัดสินใจดีหรือไม่… เห็นตรงเห็นต่าง​ ล้วนไทยด้วยกัน​ครับ