เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : คนในวัยจะ 30 ปี ขอเล่าเรื่องผ่านบทความของผู้เขียนในสถานการณ์วันนี้ : วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563

คนในวัยจะ​ 30​ ปี ขอเล่าเรื่องผ่านบทความของผู้เขียนในสถานการณ์​วันนี้
 
 
  บทความที่ผู้เขียนมานำเสนอ​ มาจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตจากชนชั้นกลางในปัจจุบัน​ เธออายุ​ 25​ ปีกำลังมองไปที่คนอายุ​ 30 ปี​ เป็นคนไม่มีหนี้เพราะที่บ้านย้ำจนแทบจะเป็นกฎของครอบครัวว่าถ้าคิดว่าจะมีโอกาสจ่ายหนี้ไม่ได้​ ก็อย่ามีหนี้​ เธออาศัยในครอบครัวคนจีนชั้นกลาง​ พ่อทำงานบริษัท​ระดับบริหาร​ แต่ก็คือลูกจ้าง​ แม่ทำงานค้าขายเล็กๆ ลูกจ้างคนเดียว​ มีพี่น้องอีก​ 2 คน​ต่างอยู่ในวัยทำงาน​ มีแม่บ้านเป็นคนอีสานที่เลี้ยงดูเธอและน้องๆ มากว่า​ 20 ปี​ มีน้องหมาอีก​ 7 ตัวที่เก็บมาเลี้ยง​ มีที่ตาบอด​ มีที่ขาหลังเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ​ อายุมากสุดก็​ 12 ปี​ มีบ้านอยู่ร่วมกัน​ และในวัยของผู้นำครอบครัวตอนที่อายุ​ 57 ปี​ ได้จ่ายชำระปิดบัญชี​หนี้สินทุกประเภทจนหมดสิ้นแล้ว​ แน่นอนว่ามีเงินจำนวนหนึ่งที่จะรองรับหลังเกษียณ​แต่มันไม่ได้มากพอหากวิกฤติ​ที่เกิดขึ้นในปัจจุบั​น​ และในอนาคตมันเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ​ ความในใจของคนอายุ​ 25 ปีที่พยายามมองไปในอีก​ 5 ปี และตั้งคำถามดังนี้​
 
 
  คุณเคยคิดว่าอายุ 30 ปี คนเราต้องมีทุกอย่างหรือไม่​ มีงานมั่นคง มีบ้าน มีรถ มีงานแต่งงาน​ แต่พอคุณโตขึ้นมาก็เข้าใจว่าแค่มีชีวิตอยู่บางครั้งยังยากเลย
 
 
  แล้ววันหนึ่งพ่อกับแม่คุณก็แก่ตัวลง คนรอบๆ ตัวคุณค่อยๆหาย ถ้าไม่จากเป็นก็จากตายเพื่อนของคุณน้อยลงเหมือนกับผมที่ค่อยๆ บางลง​ คุณปลงกับเรื่องความสัมพันธ์มาสักพัก​ คุณจะรักใครได้ในเมื่อตัวเองยังดูแลแทบไม่ไหว?​ (ในจุดนี้ ผู้เขียนคิดว่าภาระทางการเงินที่จะต้องมีจากความฝันของคนสองคนมันอาจเกินกำลังของพวกเขา​ จนเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์​ จะได้ไม่พังกันทั้งสองฝ่าย)​
 
 
  ร่างกายของคุณเรียกร้องให้คุณกลับมาดูแลมันบ้าง​ หมอบอกว่าอย่ากินปลาหมึกกับกุ้งบ่อยๆ ชาบูก็ให้เบาลง​ ชานมไข่มุกก็เหมือนกัน​ พยายามมาวิ่งบ้าง
  แต่พอเดินออกจากโรงพยาบาลคุณสั่งยำมาม่าทะเล​ เพราะมันทำให้คุณมีความสุขในการใช้ชีวิต
 
 
  คุณเต้นหรืออยู่ดึกทั้งคืนกับเพื่อนต่อไปไม่ไหว​หรือไม่คุณก็เลิกกินเลิกเที่ยวมานั่งอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ กวาดใบไม้ เก็บขี้หมาขี้แมว เปิดเครื่องกรองอากาศหายใจเพราะอากาศ​ใน​กรุงเทพฯ มันสุดแสนจะเต็มไปด้วยฝุ่น​ PM 2.5
 
 
  คุณซึ้งถึงคำว่าต้นทุนชีวิตคนไม่เท่ากัน
  ก็ตอนที่เพื่อนกลับไปบริหารธุรกิจรับช่วงต่อของที่บ้าน​ ในขณะที่คุณไม่มีอะไรให้บริหารนอกจากพยายามบริหารเงินแต่ละเดือนของตัวเองให้พอใช้ (ให้ได้​ ย้ำว่าต้องทำให้ได้)
 
 
  พ่อของคุณบอกว่าคนรุ่นใหม่ลำบากที่ต้องมีสกิล (skill set) หลายแบบ ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาและหาเงินจากหลายช่องทาง​ อาชีพที่สองต้องมี​ เพราะมันคือ​ New Normal ในเรื่องความมั่นคงของชีวิตแน่นอนของคนระหว่างและหลัง​ COVID-19 เหตุเพราะระบบและรูปแบบการทำธุรกิจ​ การจ้างงาน​ การซื้อขายของทุกอย่างที่เห็นไม่ได้เป็นของตายอีกต่อไป
 
 
  คุณเป็นคนชนชั้นกลางในระบบชนชั้นที่มันถี่ยิบย่อย​ ค่อยๆ หาเงินมาให้ตัวเองใช้ หามาให้คนใกล้ชิดได้บ้าง​ เบียดเสียดกันไปทำงานในแต่ละวันผ่านระบบขนส่งสาธารณะ​ที่ค่อนข้างแพง พยายามแทบตายที่ต้องไปให้ทันเวลาตอกบัตร
 
 
  เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายเพราะถูกหัก​ ณ​ ที่จ่ายเต็มเม็ดเต็มหน่วย​พยายามหารายได้จากหลายๆ ช่องทางอย่างที่พ่อคุณบอกแต่คุณก็เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนไม่แปลกใจที่เพื่อนคนแล้วคนเล่าบอกคุณว่าเขาไปหาหมอปรึกษา​ ไปหานักจิตวิทยา​มาและกำลังรู้สึกหดหู่ใจจนกลัวจะเป็นโรคซึมเศร้า
 
 
  บางครั้งคุณเดินเตร่ในห้างใหญ่ ซื้ออะไรไม่รู้ แค่ซื้อเพื่อให้รู้สึกเป็นเจ้าของบางอย่าง​ “คุณหัวเราะขื่นๆตอนมีคนบอกว่า เราหาเงินมาซื้อครีมทาหน้า
  แล้วก็กลับไปทำงานหนักเพื่อหาครีมมาทาหน้าอีกที” เพราะคุณคุมอย่างปัจจัยอื่นในชีวิตไม่ได้
 
 
  คุณทำให้ฟุตบาท (footpath) เลิกน้ำกระเซ็นใส่ไม่ได้
  คุณทำให้ระบบขนส่งมวลชนดีขึ้นไม่ได้
  คุณอยากช่วยคนอื่น แต่แค่ตัวเองยังไม่รอดเลย
 
 
  คุณทำได้แค่ทำหน้าที่ตัวเอง ถอนหายใจ
  รอและหวังให้อนาคตเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ตื่นขึ้นและลุกไปเผชิญรถติดอีกครั้ง
 
 
  คำถามที่รอคำตอบสำหรับคนที่มีอายุมากกว่าซึ่งเวลานี้กำลังคิดหานโยบายสาธารณะ​มาแก้ปัญหาวิกฤติ​สาธารณสุข​ วิกฤติ​ทางธุรกิจ​ วิกฤติ​เศรษฐกิจ​และอาจจะกำลังลามไปวิกฤติ​ระบบสถาบันการเงินในช่วงเวลาอีก​ 150 วันอันตราย
 
 
  คนวัยที่บอกกับคนหนุ่มสาวว่าตนเองนั้นมากประสบการณ์​ ท่านที่กำลังแก่งแย่งอำนาจในการจัดสรรและกระจายทรัพยากร​ของประเทศ​ ผ่านระบบประชาธิปไตยผ่าน​ตัวแทน​ ท่านทั้งหลายมีคำตอบให้กับ​ เด็ก (ในสายตาท่าน)​ ในวันนี้​ คือผู้ใหญ่ในวันหน้าแล้วหรือยัง​ ถ้าที่อยู่ยังทำไม่ได้​ และที่จะมาใหม่ถูกบอกว่าทำไม่เป็น​ เราๆ ท่านๆ จะมีคำตอบกับน้องผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร​ ทั้งที่เขาขอแค่เรื่องฟุตบาท​ (footpath) การขนส่ง​ และความเหลื่อมล้ำ​ ที่มีมาตั้งแต่เราๆ ท่านๆ ยังเป็นเด็กน้อยแบบพวกเขา