เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “การออกแบบสินเชื่อในยามที่ทั้งคนให้กู้และคนขอกู้ต่างก็ไม่ปกติ” www.posttoday.com วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563

การออกแบบสินเชื่อในยามที่ทั้งคนให้กู้และคนขอกู้ต่างก็ไม่ปกติ

มีใครหลายคนกล่าวไว้ว่า​ ในยามที่ไม่ปกติ​ การใช้ระบบคิดที่จะแก้ปัญหาแบบคิดว่ามันยังปกติ​ ท่านที่คิดทางออกแบบนั้นท่านก็คือ “คนไม่ปกติแถมไม่ฉลาด​ รังแต่จะสร้างภาระ​ ให้คนฉลาดกว่าท่านมาเก็บกวาดขยะหลังจากเข้าสู่ภาวะปกติ” อุปมาอุปไมย​ดัง​ ปลากระป๋องสามแม่ครัวที่อยู่ในกระป๋องเดียว​ ปลาก็ตัวเดียวกัน​ หากแม่ครัวเอาน้ำซอสต่างรสกันตามมายาคติของแต่ละแม่ครัว​ที่ตนเองเชื่อว่าอร่อยใส่เข้าไปในกระป๋องเดียวกันด้วยข้อตกลงแบบไทยๆ ว่าแบ่งกันหารสอง​ รอมชอมกันไป​ เวลาเทออกมาทำเป็นอาหารจานด่วนมันจะไม่เห็นสีอะไรที่แตกต่าง​ แต่เวลาชิมตอนจะกิน​ คนกินจะบอกได้เลยว่า​ ไม่ได้เรื่อง​ เพราะรสชาติมันไปคนละทาง​

ผู้เขียนเกริ่นมาก็เพราะมีคนในธนาคารกลางของดินแดนกรุงสารขัณฑ์​ (ยืนยันว่าไม่ใช่ประเทศเราแน่นอน)​ บอกว่ามีประเทศหนึ่งนั้น​ ก็เจอกับปัญหาโรคห่ากินปอด​ จำเป็นต้องสั่งให้ทุกคนจำศีล​ SME​ ในประเทศนั้นก็สลบสิครับ​ เพราะมีแต่รายจ่าย​ รายได้ไม่มี​ แต่หนี้สินอยู่ครบ​ มาตรการที่ออกมาช่วยลำดับแรกคือ

1.ปรับโครงสร้างหนี้แบบสมัครใจ​ ซึ่งก็พบว่าไม่มากพอ​ แรงไม่พอ​ น้อยไป

2.ปรับโครงสร้างหนี้แบบกว้างขวางและมีมาตรการขั้นต่ำ​ ซึ่งก็พบว่าคนให้กู้ไปแล้วยังเลิ่กลั่ก​ ยังละล้าละลัง​ ห่วงโน่นโยนนี่​ ไม่ยอมจบ​เพราะไม่อยากเจ็บ​

3.มาถึงเพลานี้จึงออกมาตรการแบบเข้ม

3.1​ ชะลอการจ่ายต้นและดอกเบี้ยออกไป​ 6 เดือนอย่างกว้างขวาง​ และให้บันทึกในสมุดพกการชำระหนี้ว่า​ “ปกติ” เพราะก่อนหน้าที่โรคห่ากินปอดจะลง​ ลูกหนี้ไม่มีปัญหาการชำระหนี้​

3.2 ลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการหารายได้ (หลังโรคห่ากินปอดจบ)​ แต่เวลานี้ไม่อยากเอาคนออก​ ยังมีของในโกดังออกมาขาย​ มีลูกหนี้ให้เก็บเช็คได้​ แต่มีเจ้าหนี้การค้ามารอหน้าประตูร้านจะทำอย่างไร​ ทางการจึงสั่งมาว่า​ ให้มีการจัดสรรเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเรียกว่า​ “เงินกู้ละมุนนุ่ม” ออกมาช่วย​ ช่วยอย่างไร​ ช่วยอย่างนี้ครับ​ 6 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายดอก​ หลวงท่านออกให้​ ต้นก็ให้ชะลอการจ่ายไป​ 6 เดือน​ อายุเงินกู้​ 2  ปี (ตามอายุของโรคห่ากินปอดที่คาดว่าน่าจะจบ) ดอกเบี้ย​ก็จิ๊บๆ​ 2% ต่อปีเอง​

3.3​ เงินกู้นี้จะให้เพิ่มคนตัวเล็กตัวน้อยที่มีเกือบสองล้านราย​ รายละไม่เกิน​ 20% ของยอดหนี้เดิม

สมมติ​ตามท้องเรื่อง​ มีลูกหนี้​ SME รายหนึ่งมีหนี้เดิม​ 100 หน่วย​ มูลค่าหลักประกันเดิม​ 130 หน่วย​ ขอกู้เพิ่มได้อีก​ 20 หน่วย​ คำถามคือ​ ธนาคารคนปล่อยกู้จะทำอย่างไร​ ในเวลาที่ไม่ปกติ​ ใจก็อยากจะให้​ แต่เงินกู้ใหม่มาแชร์หลักประกันเก่าไหม​ มันจะมีโอกาสหนี้สูญไหม ประเมินความสามารถในการหารายได้ยังไงถึงจะเรียกว่ายังมีศักยภาพ​ ไอ้ค่าใช้จ่ายไม่ต้องหาข้อมูล​เพิ่ม​ มันเห็นคาตาอยู่แล้ว​ ไอ้มาตรฐาน​การบัญชีนั่นอีก​ เอ้าเข้าไปที่สำคัญผู้ตรวจการที่จะมาสอบธนาคารในอีกสองปีข้างหน้า​จะเป็นโรคความจำสั้นไหมว่าเพลานั้นฉันช่วยชาติ​ ช่วยเมือง​ ช่วย​ SME อยู่​ เพราะเดี๋ยวก็เจอว่าโน่นนั่น​ เข้าตำรามือไม่พาย (เวลาทำ)​ ยังเอาเท้าราน้ำ (เวลาจบเรื่องเพื่อเป็นผลงานการตรวจ)​ นายธนาคารเขามีประสบการณ์​จึงเจ็บและจำมาถึงวันนี้​

การออกแบบเงินกู้ช่วย​ SME ในประเทศสารขัณฑ์​ (ย้ำว่าไม่ใช่ประเทศเรา)​ จึงน่าจะเป็นแบบนี้ดีไหม ผู้เขียนเจอแรงยุจึงขอเผือกส่งไปให้กับแม่ครัวประเทศนั้นดังนี้

1.เงินกู้ที่ให้ใหม่ควรเป็น​ unsecured loan ห้ามธนาคารเรียกเพิ่มจาก​ SME เพื่อตัดปัญหาความไม่สบายใจของคนให้กู้

2.เงินกู้ที่ให้ใหม่ควรมีบุริมสิทธิ์​เหนือเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันอื่นๆ ที่เกิดก่อนหน้า​ เพราะเป็นเงินกู้ละมุนนุ่ม​ มีความอ่อนโยนต่อผู้กู้​ แต่มีความแข็งแรงต่อผู้ให้กู้

3.เงินกู้ใหม่ถ้าให้ข้ามแบงก์​ได้​ จะได้คะแนนความประพฤติดีเพิ่ม​ หมายความว่าถ้า​ แบงก์​ A ปล่อยกู้ลูกค้าแบงก์ B ได้หรือเป็นลูกค้า​ new to แบงก์​ A จะยิ่งได้แต้ม​ เพราะเวลานี้ต้องการให้เม็ดเงินลงไปเร็ว​ ไปให้ถูกที่​ ถูก​ SME มากที่สุด​ โรคห่ากินปอดกับการจำศีลมันสุดจะทนแล้ว​

ที่ต้องระวังคือ​ แบงก์จะรีบปล่อย​ Top​ up เงินกู้ละมุนนุ่มลงไปยังลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการใช้​ แล้วอีกเดือนสองเดือน​ ลูกค้ารายนั้นก็คืนเงินกู้ก้อนอื่นกลับมาให้​ เพื่อลดต้นทุนของตัวเอง​ SME ที่ต้องการงินหมุนเลยกินแห้วเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา​ กระบวนการไม้เรียวกำกับการทำงานจึงสำคัญกว่าการไปสร้างหรือออกแบบเงินกู้ให้มันซับซ้อน​ วุ่นวาย​ เหตุเพราะคนไม่เคยปล่อยกู้​ คิดเอาเองว่าฉันปล่อยกู้เป็น​ เลยจะไปสั่งคนให้กู้ว่าแบบนั้นแบบนี้​ คนปล่อยกู้ตัวจริงเลยนั่งเฉยสิครับ​ รอให้มันไม่เข้าเป้า​ ขี้คร้านแม่ครัวก็ต้องวิ่งมาคุยด้วยแล้วก็ปรับเกณฑ์​ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว​ ยังคิดจะทำ​ มันก็เป็นดั่ง​ สามแม่ครัวทำปลากระป๋องน้ำซอสสามรสในถ้วยเดียวกัน​

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด​ นายธนาคารกลางที่กระซิบกระซาบ​กับผมก็จบด้วยภาพ​ ทหารราบแบกเจ้าลาเดินฝ่าดงกระสุน​ ไม่ใช่เพราะรักเจ้าลามาก​ แต่กลัวมันจะทำอะไรแบบไม่ฉลาด​ จนวินาศวายป่วง​ เสียเวลา ​(เพราะเวลาคือสิ่งที่ห่ากินปอดกับการจำศีลกำลังแย่งกับเวลาหายใจของ​ SME)

ขอภาวนาอย่าให้​ SME ในสารขัณฑ์​ไม่ต้องใส่ท่อหายใจตอนห่ากินปอด​ 80% ทั้งที่ควรจะแค่กันบริเวณ​ 14 วันแล้วก็รอด​ ได้แต่ภาวนากุ๊กใหญ่ใช้อำนาจยุติจินตนาการของแม่ครัวแล้วให้ทำอาหารบ้านๆ แบบเจียวไข่​ ไข่ต้ม​ โปรตีนครบด้วยเถิด

วันเสาร์วันอาทิตย์ เงียบสงบ

อยู่กันครบในบ้านที่อาศัย

หมอขอร้องก็เพื่อความปลอดภัย

จงร่วมใจหยุดเชื้อเพื่อชาติ…