เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “เคสจริง​ เรื่องจริง​ของคนที่คิดจะขอกู้ในเวลานี้​ ” วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562

เคสจริง​ เรื่องจริง​ของคนที่คิดจะขอกู้ในเวลานี้​

จากการที่เครดิตบูโร​ ได้ปรับปรุงวิธีการในเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างตัวลูกค้าเจ้าของข้อมูลกับทาง​ call center ของเราดังนี้ว่า
1. Call center จะให้ข้อมูลพูดคุย​ ปรึกษาแนะนำในกรณีที่เป็นเรื่องทั่วไป​ ไม่ซับซ้อน เช่น​ จะตรวจเครดิตบูโร​ได้ที่ไหน​ ต้องทำอย่างไร​ เป็นต้น
2. ในกรณีที่เป็นประเด็นที่เริ่มยาก​ เริ่มลงรายละเอียด​ ซึ่งมีข้อเท็จจริงมากมาย​ จนเราไม่อาจเชื่อได้ว่า​ ใครพูดความจริง​ ใครพูดความจริงครึ่งเดียว​ ใครมีวัตถุประสงค์แท้จริงอะไร​ มีผู้คนปลอมเป็นลูกค้าเข้ามาขอเก็บข้อมูลอย่างนั้นอย่างนี้​ ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องมีการส่งหลักฐานประกอบมายังเครดิตบูโรเพิ่มว่า​ ท่านที่ถามเป็นใคร​ มีปัญหากับสมาชิกเครดิตบูโรรายใด มีประเด็นอย่างไร​ หลักฐานคืออะไร​ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด​ เครดิตบูโรถูกหนังสือจากทางการผู้กำกับดูแลกำหนดไว้ว่า​ “ห้ามมิให้เครดิตบูโรแก้ไขข้อมูลใดๆ ให้ต่างไปจากที่สมาชิกนำส่ง” ดังนั้นสิ่งที่เห็นในรายงานเครดิตบูโร​ คนที่จะบอกได้จริงว่าอันไหนคือใช่หรือไม่ใช่คือตัวเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้ากับตัวของสถาบันการเงินสมาชิกที่เป็นส่งข้อมูล​ หากว่าทั้งสองคนนี้บอกว่ามันใช่​ มันก็คือใช่​ ถ้าสองคนนี้ทะเลาะกันมันก็ต้องไปจบที่คนกลางคือคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตที่มีท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน (ซึ่งไม่มีใครในเครดิตบูโรไปนั่งเป็นกรรมการชุดนี้เลย)​ และถ้ายังไม่พอใจ​ คนที่เป็นลูกค้าก็สามารถยื่นเรื่องต่อศาลท่านให้ยุติเรื่องด้วยความเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่งในท้ายสุด

ท่านผู้อ่านลองดูสิ่งที่เป็นเคสจริงๆของวันนี้คือ​….. ผมขอความกรุณาปรึกษาครับ
พอดีผมติดเครดิตบูโร จากการที่ไม่ได้ผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ เนื่องจากรถถูกขโมยไปเมื่อปี 2549 และต่อมาตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ และศาลมีคำพิพากษาให้คนร้ายชดใช้เงินตามจำนวนมูลค่าของรถ ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกิน 10 ปีแล้ว

บริษัทที่เป็นคู่สัญญาของผมได้ขายหนี้และผมควรจะทำยังไงดีครับ เพราะตอนนี้จะกู้เงินธนาคารต่างๆ อีกครั้งก็เกิดปัญหากับประวัติตัวนี้อยู่ครับ…

จากข้อมูลเท่านี้ที่มีการส่งผ่านอีเมลเข้ามา​ หากท่านเป็นคนรับเรื่องท่านจะเชื่อเลยหรือไม่​ ท่านจะแยกแยะอย่างไร​ ท่านจะให้ความจริงบางประการที่ถูกต้องแต่อาจไม่ถูกใจเขาได้อย่างไร​ ผมขอลองให้พิจารณาดังนี้ครับ

1.บอกกับเขาก่อนว่า​ คำว่าติดเครดิตบูโรนั้นคือความเข้าใจผิด​ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดให้เข้าใจถูกก่อนว่า​

เครดิตบูโรขอเรียนว่า ไม่ได้จัดทำและไม่เคยจัดทำ “ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งติดเครดิตบูโรหรือติดบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์” ในฐานข้อมูลของบริษัทและในรายงานข้อมูลเครดิตของเจ้าของข้อมูลเลยแม้แต่รายเดียว ความเข้าใจในเรื่องที่ว่า เมื่อมีหนี้ค้างชำระหรือผิดนัดชำระหนี้แล้ว จะทำให้ “ติดเครดิตบูโรหรือติดแบล็กลิสต์” และไม่สามารถขอสินเชื่อได้จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จหรือปิดบัญชีและถูกปลดชื่อจาก “การติดเครดิตบูโรหรือติดแบล็กลิสต์” ของเครดิตบูโร นั้น จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

เครดิตบูโร มีหน้าที่ในการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัท โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกมีหน้าที่รายงานและส่งข้อมูลของลูกค้าสินเชื่อและบัตรเครดิตให้กับบริษัททุกเดือน ซึ่งมีลักษณะเป็นการรายงานข้อเท็จจริงหรือมีความเคลื่อนไหวของบัญชีสินเชื่อในแต่ละบัญชีที่ลูกค้ามีอยู่กับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ไม่ว่าลูกค้าจะมีประวัติผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ก็ตาม โดยบริษัทจะเก็บข้อมูลไว้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

2. ในปัจจุบันในรายงานเครดิตบูโรของเจ้าของข้อมูลที่เป็นลูกค้ารายนี้น่าจะมีสถานะทางบัญชีสินเชื่อนี้ว่า​ “ได้ถูกโอนขายไปให้กับนิติบุคคลอื่นแล้ว” เพราะเจ้าหนี้เดิมเมื่อไม่ได้รับชำระหนี้​ ก็จะทวงถาม​ ต่อเมื่อมองว่าบัญชีนี้คงจะได้รับชำระยากจึงตัดสินใจขายหนี้บัญชีนี้ให้กับนิติบุคคลที่มารับซื้อหนี้ค้างชำระนี้ไปบริหารต่อ​

3. ในข้อเท็จจริงไม่ระบุว่า
3.1​ ใครไปแจ้งความว่ารถหาย​ หายเพราะถูกขโมย​ ขโมยเป็นใคร​ สัมพันธ์​หรือไม่อย่างไรกับลูกค้า​
3.2​ เมื่อศาลท่านพิพากษาแล้วให้คนร้ายชดใช้หนี้​ มีการทำอย่างไรต่อ​ มีการนำรถทีถูกขโมยไปออกประมูลขายเอาเงินมาใช้หนี้คนให้กู้ไปมา หรือมีเพียงคำพิพากษาแต่ไม่มีใครไปบังคับคดีใช่หรือไม่
3.3​ ตัวเจ้าของข้อมูลได้ติดต่อกับนิติบุคคลที่เขาซื้อหนี้ไปหรือไม่​ เพราะเขาคงไม่อาจทราบได้ว่าลูกหนี้ที่เขาซื้อมานั้นที่ไม่ชำระหนี้เพราะเกิดเหตุ​อะไร​ เขาก็รู้แต่ว่าคนนี้​ บัญชีหนี้​ เป็นหนี้กับสถาบันคนขายหนี้​ แต่ยังไม่มีการชำระหนี้​ เขาซื้อหนี้มาบริหาร​ เขาก็ต้องทวงหนี้ตามสิทธิ​ที่เขามี

เรื่องทั้งหมดที่เปิดมา​ คนที่รู้คือตัวลูกหนี้​ แต่เจ้าหนี้เปลี่ยนไปแล้ว​ ประวัติมันนิ่งตอนขายหนี้ออกไป​ และเมื่อนับจากวันที่มีการขายหนี้ออกไปแล้ว​ ยอดหนี้ก้อนนี้จะแสดงตัวเลขเป็นศูนย์​ มีรหัสสถานะบัญชีว่า​ 42​ โอนขายหนี้ให้กับนิติบุคคลภายนอก​ ที่สำคัญบัญชีนี้จะถูกลบออกจากระบบหลังจากครบกำหนดสามปีนับแต่วันที่มีการโอนขายหนี้บัญชีนี้

ตอนนี้คำแนะนำคือตัวลูกหนี้ต้องไปคุยกับนิติบุคคลที่รับซื้อหนี้ว่า​ หนี้ตามคำพิพากษาที่ให้คนร้ายใช้หนี้นั้นเป็นมาอย่างไร​ มีการชำระแล้วหรือไม่​ ชำระให้ใคร​ คนฟ้องคือใคร​ เพราะตราบใดที่คนซื้อหนี้ยังไม่ได้รับชำระหนี้​ เขาก็ตามหนี้ก้อนนี้​

ส่วนการที่ท่านเจ้าของข้อมูลท่านจะยื่นขอกู้ใหม่กับใคร​ ท่านก็ต้องไปแสดงหลักฐานความสามารถในการชำระหนี้ว่าท่านไหว​ ท่านรับผิดชอบได้​ จะไปเอาสองเรื่องมาผูกกันเสียทั้งหมดมันคงไม่ได้​ มันต่างกันนะครับคือถ้า​ เจ้าหนี้เขาฟ้องคนเป็นลูกหนี้ให้ชำระ​ แล้วคนเป็นลูกหนี้ไปฟ้องคนขโมย​ แล้วศาลพิพากษามาให้ขโมยชดใช้​ ไล่กันมาอย่างนี้มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างออกไป

นี่คือเหตุผลที่เครดิตบูโรเราให้คนที่มีเรื่องเขียนอีเมลเข้ามาครับ​ ต้องเขียน​ หลักฐานจะได้ชัด​ เล่าเรื่องไม่เอาครับ​ ความจริงมันมีหลายชุด​ ทุกคนต่างอ้างความจริงที่ตนได้ประโยชน์​ มันคือสัจธรรม​ของมนุษย์ครับ

ขอบคุณมากที่ติดตาม