เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล)  “ผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จะออกจากเขาวงกตความต้องการของสมาชิกได้อย่างไร”

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล)  

ผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จะออกจากเขาวงกตความต้องการของสมาชิกได้อย่างไร

โดย…สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร

คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/586292

เมื่อมีการพูดจาถึงเรื่องหนี้ครัวเรือนไทยที่มีจำนวนประมาณ​ 12.5 ล้านล้านบาท​ ย้ำนะครับว่าหน่วยคือล้านล้านบาท​ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เศรษฐกิจไทยติดขัดกันอยู่เวลานี้​ และเป็นปัญหาที่เกิดมาก่อนรัฐบาลชุดนี้ซึ่งสะสมเรื่อยมา​

เมื่อเรามองไปที่คนให้กู้ก็จะพบว่าเจ้าหนี้รายใหญ่ๆสามรายแรก ได้แก่ 1.ธนาคารพาณิชย์ 2.สถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือ​ SFI และ 3.สหกรณ์ออมทรัพย์

โดยปัจจุบันสหกรณ์ออมทรัพย์​ทั้งหมดเป็นพันแห่งได้ปล่อยกู้ไปแล้วกว่า​ 1.9 ล้านล้านบาท​ คนเป็นลูกหนี้ก็คือสมาชิกสหกรณ์​ที่ถือหุ้น​ มีเงินฝาก​ และมีสิทธิยื่นขอกู้​ ภาษาชาวบ้านคือสมาชิกขากู้นั่นเอง​ กลไกสำคัญที่ทำให้ตัวสหกรณ์​ออมทรัพย์​กล้าปล่อยกู้ก็คือ

  1. สมาชิกที่กู้จะถูกหักรายได้​ เงินเดือนเวลาที่นายจ้างจ่ายแล้วเงินนั้นจะถูกส่งมาชำระหนี้​ ส่วนเงินที่เหลือจะพอใช้จ่ายหรือไม่พอใช้จ่ายเป็นเรื่องของตัวลูกหนี้ต้องไปจัดการเอาเอง
  2. กรรมการที่ตัดสินใจให้กู้จะรู้จักตัวผู้กู้ค่อนข้างดีเพราะเป็นคนในสังกัดองค์กรเดียวกัน​ อาจเป็นเพื่อนพนักงาน​ อาจเป็นหัวหน้า​ หรือลูกน้อง​ ทีมงานกันก็ได้
  3. เงื่อนไขจะไม่เข้มข้นหรือโหดแบบทางการค้าโดยทั่วไปเพราะเป็นเรื่องขบวนการช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างคนมีเงินเหลือกับคนที่เงินขาดมือ

 

ปัญหาที่นำมาสู่ความหนักอกหนักใจของผู้บริหารองค์กร​ สถาบันการเงินประเภทนี้คือว่า

  1. สมาชิกขาฝากเงินส่วนใหญ่ต้องการดอกเบี้ยเงินฝากสูงๆ​ เงินฝากนั้นไม่มีการคุ้มครองเงินฝาก​ ดอกเบี้ยที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษี​ เวลานี้ก็น่าจะได้ประมาณ​ 3-4% สมาชิกส่วนนี้เป็นคนสร้างต้นทุนเงินฝาก
  2. สมาชิกขากู้ส่วนใหญ่ก็จะกู้ไปใช้ต่างๆนาๆ​ บางส่วนก็จะกู้แล้วกู้อีก​ กู้วนซ้ำ​ มีโอกาสเป็นต้องกู้​ หรือกู้ฉุกเฉินต่อเนื่องและเป็นประจำ​ เรียกว่าขาประจำการสร้างรายได้เงินกู้ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์​ อัตราดอกเบี้ยก็มีตั้งแต่​ 5-8% ที่อาการหนักคือสมาชิกที่ทำงาน​ ได้เงินเดือน​ ส่งหนี้​ แต่หักแล้วเหลือไม่พอดำรงชีพ​ ต้องกู้มาเติมการใช้จ่าย​ ความอ่อนแอในขีดความสามารถในการหารายได้มาชำระหนี้ในแต่ละเดือนนับวันจะลดน้อยถอยลงไป​ บางรายที่ร้ายแรงมากถึงขนาดว่าเงินเดือนทั้งหมดแทบจะเอาไปใช้หนี้​ มีเงินโอทีเอาไว้กินใช้​
  3. สมาชิกที่ถือหุ้น​ ก็คือผู้คนที่เอาเงินมาลงทุนถือหุ้นเพื่อเป็นสมาชิกสหกรณ์​ออมทรัพย์​ เงินที่เอามาลงทุนจะได้คืนก็ต่อเมื่อลาออกที่เรียกว่าชักทุนคืน​ ในระหว่างนี้ก็จะได้เงินปันผลหรือผลตอบแทนเฉลี่ยคืนรายปี​ ที่ผ่านมาผลตอบแทนก็จะดี สูงกว่าเอาไปฝากธนาคาร​ เวลานี้น่าจะอยู่เหนือ​ 6% และผู้ถือหุ้นต่างก็คาดหวัง​ คาดคั้น​ หรือกดดันให้คณะกรรมการที่มาหาเสียงในการเป็นกรรมการบริหารงานว่าคณะไหนมีผลงาน​ มีฝีมือทำได้มาก​ ทำได้ไม่น้อยกว่ากี่ % ก็จะได้รับเลือก

มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านลองคิดตามผมนะครับ​ แหล่งที่มาของรายได้มีความอ่อนแอเปราะบางและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่​ ถ้าจะเพิ่มดอกเบี้ยเงินกู้จะทำได้​ไหม​ หนี้เสีย​ หนี้ค้างชำระ​ มันจะเพิ่มหรือมันจะลดในอนาคต​ แหล่งที่มาของรายจ่ายจะลดลงได้ไหม ดอกเบี้ยเงินฝากจะลดได้ไหม​ ในยามที่คนมีเงินวิ่งหาว่าที่ไหนให้ดอกแพงก็ไป​ ถ้าไปลดดอกเบี้ยเงินฝากรับรองว่าคณะกรรมการจะโดนต่อว่าแน่นอน​ ในขณะที่มุมของสมาชิกที่ถือหุ้นก็อยากได้ผลตอบแทนเกินขั้นต่ำที่คาดหวังกันไว้​ คือมันต้องบริหารให้ได้เกินกว่าที่ตนเองและคณะไปหาเสียงผูกพันเอาไว้ว่าจะได้ประมาณนั้นประมาณนี้​

สามเหลี่ยมของความต้องการที่ขึงตึงยันกันเป็นแบบนี้มันก็จะนำมาซึ่งการละทิ้ง​ ผ่อนผัน​ ผ่อนปรนเงื่อนไขหรือไม่เช่น ลูกหนี้คนขอกู้มีความสามารถหย่อนหน่อยก็ยอมรับ​ ดอกเบี้ยเงินฝากควรจะลดได้บ้างก็ไม่ลด​ หรือกลัวถูกผู้ถือหุ้นไล่ลงจากเวทีในข้อหาไร้ฝีมือในการสร้างผลตอบแทนกับคนถือหุ้น

พอหันมามองทางการ​ ก็พยายามจะเข้มงวดขึ้น​ ทำให้หนี้ส่วนนี้โตช้าลง​ แต่จะเพิ่มเกณฑ์มากไปแล้วก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ตัวอย่างคือ​ สมาชิกอายุ​ 55 ปีกู้เงินแล้วต้องผ่อนรายเดือนเกินอายุเกษียณ​ แล้วถ้าไม่มีรายได้จากแหล่งอื่นนอกจากบำนาญแล้ว​ เราจะดูแลกันอย่างไร​ คำว่าแก่ก่อนรวย​ ทุกข์หลังเกษียณ​ เราจะทำอย่างไรกัน​ ใครจะเริ่มก่อน​ มันคือเขาวงกตที่สร้างกันมาในหลายๆปี​ และคำถามคือกรรมการและผู้บริหารสหกรณ์ออมทรัพย์จะออกจากเขาวงกตความต้องการของสมาชิกในสามกลุ่มข้างต้นนี้ได้อย่างไร….