คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : เขียนก่อนเลือกตั้ง หวังว่ามันคงจะไม่แย่ : วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2562

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

เขียนก่อนเลือกตั้ง หวังว่ามันคงจะไม่แย่

นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2562

ในวันที่ผมเขียนบทความนี้ คือวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 2562 ก่อนวันเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นวันชี้ชะตา วันพิพากษา วันเปิดศักราชใหม่ วันเกิดประเทศ หรือวันแห่งชัยชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วแต่จะประกาศ กล่าวอ้างกันไป แน่นอนว่าในวันเสาร์นี้อันถือได้ว่าเป็นวันสุกดิบก่อนวันเลือกตั้ง การโหมกระหน่ำการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง ใดๆ ไปยังผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง และไม่ว่าจะใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือการใช้สื่อแบบดั้งเดิม แต่พอ 6 โมงเย็นวันนี้ทุกอย่างต้องยุติ และก็รอกับรอหลังปิดหีบลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สิ่งที่ผมได้ลองนั่งเฝ้าดูกระแสเสียงที่มีการพูดจากันก็เป็นไปต่างๆ นานา ตัวอย่างเช่น

1.ข่าวลือที่ไม่มีที่มาบอกให้พกปากกาสีน้ำเงินไปลงคะแนนเอง เพราะเหตุว่าหมึกที่มาจากปากกาที่ใช้ในหน่วยจะจางหายไปใน 15 นาที ยังไม่ทันที่ข่าวลือนี้จะจางหายไป ก็มีข่าวลือมาแก้ทับว่า “ระวังค่ะ มันมีข่าวมาสร้างความสับสนค่ะ เข้าใจว่าถ้าไม่ใช้ปากกาของสถานที่เลือกตั้ง จะถือว่าที่เรากาไปเป็นโมฆะ เพราะสีหมึกไม่เหมือน” เรื่องแบบนี้มันเกิดได้อย่างไร เราระแวงกันได้ขนาดนี้เลยหรือ สติและปัญญามันหดหายไปไหนกัน คนที่แชร์ก็ใช่ว่าไม่เคยเรียนหนังสือ ทำงานกันจนเกษียณแล้วก็ยังแชร์ข่าวเน่าๆ แบบนี้ได้

2.คำคม ข้อคิด เตือนสติ เช่น คนที่เขาเสนอตัวมาให้เราเลือกนั้นมันช่างบ้าบอคอแตกได้ใจ แต่นั่นคือสิ่งที่คนเลือกคุมไม่ได้ เพราะเขาเหล่านั้น

คือคนเสนอตัวมาให้เราเลือก แต่คนที่ต้องไปเลือกต่างหากที่จะบ้าบอคอแตก ไม่ได้ เราบ้าไม่ได้เพราะมันคือสิทธิ ของเราที่จะถูกใช้และจะถูกอ้างใน ภายหลังจากคนที่เราเลือก สรุปคือ คนบ้าไม่ผิด ผิดที่คนเลือกที่บ้าไปเลือกเขา โดยไม่ไตร่ตรอง ไอ้คำพูดที่บอกไม่รู้ จะเลือกใคร มันไม่ควรเกิดขึ้นในปี พ.ศ.นี้แล้ว

3.มันจะเกิดการปะทะระหว่างกลุ่มที่ยังต้องการแบบเก่าที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง หรือถ้าจะเปลี่ยนต้องค่อยๆ เปลี่ยน เพราะอาจยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียในสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะเสีย (แม้ว่ามันจะยังไม่ชัดว่าจะต้องเสียไปจริงๆ) กับกลุ่มรุ่นใหม่ที่คิดว่าของมันต้องเสี่ยง มันต้องเปลี่ยน มันต้องรื้อใหม่ เพราะทำแบบเดิมๆ มันแก้ปัญหาไม่ได้ มีการยกเอาคำพูดที่ว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำแบบเดิมซ้ำๆ แล้วคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น ถ้าเลือกผู้คนในตัวเลือกเดิมซึ่งเป็นคนที่ร่วมก่อ หรือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาก่อนการควบคุมอำนาจ อะไรเป็นหลักประกันว่าปัญหาเดิมๆ จะไม่กลับมา

4.คนที่คิดเรื่องความสงบเรียบร้อยมันก็มีประเด็นที่คิดเห็นแตกต่างกัน กลุ่มหนึ่งก็ระบุว่าชอบคนนี้เพราะทำให้เกิดความสงบ ไม่มีประท้วง เพราะอาจตีความว่าคำว่าสงบคือ เงียบและทำ ไม่ได้ในบางเรื่องที่จะสะท้อนความคิดที่แตกต่าง เช่น ไม่ชอบที่จะให้มีการชุมนุมประกาศข้อเรียกร้องโน่นนี่ ขณะที่อีกฝ่ายบอกว่ามันไม่เรียกว่าสงบ แต่มันคือการบังคับให้เงียบ ไม่ให้แสดงความคิดเห็น บังคับไม่ให้เห็นต่าง หรือ ที่พูดกันมากคือไม่ต้องการให้มีข้อ ขัดแย้ง คือมองข้อขัดแย้งว่าไม่ดี แต่ ทำไมไม่มองว่าถ้าเราทำตนให้เป็นคนมีเหตุผลแล้ว การทำให้ข้อขัดแย้งมีคุณภาพมันจะดีกว่าไหมกับการบังคับให้ลดปริมาณข้อขัดแย้ง ประเทศเรามันควรมีข้อขัดแย้งที่มีคุณภาพ เห็นต่าง ถกเถียง ไม่ใช่โต้เถียงกันแบบเด็กๆ ว่า ถ้าไม่เห็นชอบแบบเดียวกับเราแล้วละก็ เราก็จะเอาของเล่นที่ให้ยืมคืนกลับมา

5.คนที่คิดเรื่องปากท้องเรื่องธุรกิจ การทำมาค้าขาย ต่างก็มองว่าไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาล เศรษฐกิจไม่มีวันดี เพราะไอ้คนที่ไม่ได้บริหาร มันก็จะบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปชมฝ่ายตรงข้าม มันคือต่างคนต่างกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง ป่วยการจะไปฟัง เอาเวลาไปทำมาหากิน เพราะไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรหน้าที่ของธุรกิจคือต้องอยู่ให้รอด ถ้าคนทำธุรกิจ ทำตัวเองไม่ดีตัวเองก็ไม่รอด พี่ๆ หลายคน ที่ผมรู้จักต่างบอกว่า อย่าไปเอาปัญหาประเทศมาเป็นปัญหาตัวเอง เรามีหน้าที่ ตรงไหนก็ทำตรงนั้นให้ดี ดูแลกิจการ ดูแลในส่วนที่เรารับผิดชอบให้ดีก็พอ

เป็นการง่าย ยิ้มได้ ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่น เหมือนบรรเลง เพลงสวรรค์ แต่คนที่ ควรชม นิยมกัน ต้องใจมั่น ยิ้มได้ เมื่อภัยมา

ภัยทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ปากท้อง ต่างรอความคิดความอ่าน ชุดเก่า ชุดใหม่ ชุดผสมเก่าใหม่ มาแก้ไข แต่อย่าไปหวังว่าความกินดีอยู่ดีจะเกิดโดยพลัน เพราะประชาธิปไตยหรือ การเลือกตั้งมันคือเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมายคนในประเทศอยู่เย็นเป็นสุข มันไม่ได้หมายความว่ามีเลือกตั้งแล้วจะมีประชาธิปไตยและเกิดความอยู่ดีมีสุขโดยพลันนะครับ

ขอบคุณมากครับ