คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ “คลื่นระลอกใหม่ในทะเลการเงิน” : วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

“คลื่นระลอกใหม่ในทะเลการเงิน”

นสพ.โพสต์ทูเดย์ : วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562

ท่ามกลางกระแสข่าวปลดพนักงาน เลิกจ้าง ปิดสาขา การปรับตัวไปสู่บริการดิจิทัล แต่คนยังมีบทบาทสำคัญ ที่จะผลักดันองค์กรนั้นให้เติบโตต่อไปได้ โดยเฉพาะในยุคที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ปี 2564 แต่เรื่องที่ผู้เขียนอยากกล่าวถึงในบทความนี้จะได้แก่ คลื่นของการเปลี่ยนแปลงในระบบสถาบันการเงินไทย ในมุมของ ผู้เขียนมีดังนี้

1.จากการที่เรามีโครงสร้าง พื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล จะทำให้การต่อยอด รุกคืบของรูปแบบการให้บริการแบบทุกที่ ทุกเวลา หยิบมือถือขึ้นมาทำรายการทางการเงินได้ตลอดเวลา ดังนั้น ธนาคารคงจะกลายเป็นผู้ให้บริการบนแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนมากขึ้นในปีใหม่นี้บริการใหม่ แปลก และใช่จะมีมากขึ้น

2.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนก่อนที่จะได้รับบริการจะเป็นดิจิทัลด้วยเทคนิคแบบใหม่ๆ การใช้ภาพใบหน้า ม่านตา ลายนิ้วมือ การเช็กสอบข้ามแบงก์ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่า สมชาย คือสมชายคนนี้ ไม่ใช่สมศักดิ์คนนั้น หรือสมชายตัวปลอม พิสูจน์ด้วยข้อมูลสิ่งที่สมชายมี ด้วยสิ่งที่สมชายเป็น ด้วยสิ่งที่สมชายรู้ มาตอบคำถามของสมชายที่ว่า ผมคือสมชายครับและผมต้องการใช้บริการของท่านโดยไม่ต้องมาเจอหน้ากัน (non face to face) ที่แน่ๆ ตอนนี้กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ว่าด้วยการพิสูจน์และยืนยันตัวตนกำลังอยู่ในการพิจารณาของ สนช.

3.ผู้เล่นในการให้บริการทางการเงินประเภทสินเชื่อจะมีมากขึ้น Peer to Peer Lending คงจะมีใบอนุญาตออกมาแพลตฟอร์มตัวกลางจากจีน เกาหลี สิงคโปร์ คงเข้ามาในตลาดบ้านเราแน่นอน ลูกค้าทั้งมนุษย์เงินเดือน คนค้าขายตัวเล็ก หรือคนที่ไม่มีประวัติทางการเงินแต่มีแนวคิดคงจะมีทางออกในเรื่องแหล่งเงินมากขึ้น อีกพวกหนึ่งคือพวก Technology Company ที่เก่งๆ มีข้อมูลมาก คงจะเข้ามาในตลาดสินเชื่อนี้โดยเฉพาะพวก E-Commerce Platform

4.บทบาทธนาคารหรือสถาบันการเงินของรัฐจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การลงไปในตลาดล่างที่เข้าไม่ถึงจะคึกคัก ดูจากโครงการบ้านล้านหลัง หรือปล่อยกู้ Taxi จะเห็นได้ว่าดูเหมือนเสี่ยงแต่ไม่เสี่ยงเพราะมีกรอบการกำกับดูแล เข้มข้นขึ้นกว่าในอดีตมาก

5.เครื่องมือทางสถิติที่จะนำมาใช้ในการช่วยตัดสินใจในการอนุมัติสินเชื่อจะอิงกับหลักเกณฑ์มากกว่าดุลพินิจเป็นรายๆ คะแนนเครดิต หรือ Credit Scoring จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั้ง Bank Internal Credit Score ที่พัฒนาจากข้อมูลลูกค้าของตัวแบงก์ที่จัดเก็บเอง Bureau Credit Score ที่พัฒนาจากข้อมูลในเครดิตบูโร Alternative Credit Score ที่พัฒนามาจากข้อมูลลักษณะอื่นๆ เช่น จากการใช้โทรศัพท์ พฤติกรรมในโลกออนไลน์ สื่อโซเชียล การจัดอันดับใน E-Commerce Platform ที่เกิดจากตัวเจ้าของข้อมูลเป็นคนสร้างขึ้นมา เครื่องมือพวกนี้จะเข้ามาทำให้กระบวนการสินเชื่อเร็วขึ้นมาก และการก้าวออกจากรูปแบบการให้สินเชื่ออิงหลักประกันจะกลายมาเป็นอิงข้อมูลหรือ Information Based Lending ที่ทางธนาคารกลางสนับสนุนนั่นเอง

6.สุดท้ายคือเรื่องของคน ยุคที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล เราจะเห็นการแข่งขันแย่งชิงคนไอที ดิจิทัลกันดุเดือด สิ่งที่เป็นความท้าทายมากคือไม่สามารถพัฒนาคนให้ทันต่อความท้าทายใหม่ เช่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่ บางองค์กรจึงต้องมีการรับคน (แย่งชิงคน) ที่เชี่ยวชาญในบางด้านที่ขาด เข้ามาจากภายนอก เมื่อทุกอย่างกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของดิจิทัล ยุคของเทคโนโลยี และสถาบันการเงินต้องปรับตัวเองให้ทัน ทั้งปรับการให้บริการไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงปรับในเรื่องของคนเข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนไอที คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที เทคโนโลยีที่ล่าสุด

7.ผู้เขียนคิดว่า ผู้คนที่มีอายุเกิน 45 ปี และหยุดอ่านหนังสือ พูดกับเด็กๆ ในที่ทำงานแล้วไม่มีใครฟัง (แต่ตัวเองคิดว่าตนเองยังสำคัญอยู่) วันๆ ใช้แต่ประสบการณ์ ความเก๋าเอาตัวรอดในที่ทำงาน พวกได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน นำเสนอเก่ง หรือพวก NATO, No Action Talk Only หรือพวกนักรบ PowerPoint พวกที่ดีแต่สร้าง Template เก๋ไก๋มาหลอกตาเจ้านายไปวันๆ จะได้คิดว่าตนเองไม่เหมาะกับโลกยุคใหม่แล้ว ไอ้ที่คิดว่าหลังจบงานเกษียณจะไปเป็นที่ปรึกษา คงจะไม่มีใครปรึกษาแล้วล่ะ และจะไปต่อได้อย่างไรกัน

เพราะโลกความรู้และการทำงานแบบใหม่จะไล่ล่า กวาดล้าง และเก็บกวาดพวกหลงยุค หลงฝูง หลงเผ่า ไปกับคลื่นระลอกใหม่ในยุคที่ข้อมูลเป็นเชื้อเพลิงการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ในอนาคตเราอาจจะเห็นคนต่างชาติมาดูแลงานไอทีของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ หรือธนาคารกลางในประเทศสารขัณฑ์ก็ได้นะ (มีความเป็นไปได้นะ… ไม่ได้โม้)

จะเห็นได้ว่าคนยังเป็นเรื่องสำคัญขององค์กร แต่บางองค์กรอาจคิดเปลี่ยน มองว่าคนอาจเป็นต้นทุน แถมไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทได้อันนี้คือความผิดมหันต์ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ต้องหาคนที่ใช่ จ้างแพงไม่กลัวแต่อย่าจ้างผิด และบริหารให้ได้ใจเขาแล้วจะได้งานจากเขาแต่ถ้าคิดแบบ อันความสามัคคีนั้นดีอยู่แต่ต้องให้ตัวกูเป็นหัวหน้าแล้วละก็ รับรองว่าจมคลื่นระลอกใหม่ในทะเลการเงินแน่นอน…ขอบคุณครับ