คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ “Ease of Doing business ธนาคารโลกที่ควรสนใจ” วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

“Ease of Doing business ธนาคารโลกที่ควรสนใจ”

นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561

เมื่อปลายเดือน ต.ค. 2561 ที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศในโลกกว่า 190 ประเทศ ที่ถูกประเมิน ถูกวัด ถูกเปรียบเทียบว่าในแต่ละปีนั้นใคร ประเทศใด ทำได้ดีขึ้นกว่ากัน  ดีขึ้นในด้านไหน อยู่ในอันดับที่เท่าไร คำถามที่สำคัญ ที่เราต้องให้ความสนใจคือ ธนาคารโลกต้องการวัดอะไรผ่านตัวแปรปัจจัยต่างๆ

คำตอบ คือ เขาต้องการวัดความยากความง่ายในการทำธุรกิจในประเทศต่างๆ ว่า หากใครสักคนไม่ว่าต่างชาติหรือคนในประเทศนั้นจะ

ทำธุรกิจ ก่อตั้งกิจการ ระดมทุนจากผู้ถือหุ้น ขอใบอนุญาตติดตั้งน้ำ  ไฟ โทรศัพท์ ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การนำเข้าส่งออกง่ายหรือยากใบอนุญาตหรือใบรับรองอาหารและยาการจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดเก็บภาษีมีความลึกความกว้างประมาณไหน  มีอัตราการจัดเก็บที่สามารถบริหารอย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่า

แน่นอนว่าต้องมีเรื่องการหาแหล่งเงินทุนด้วยการขอสินเชื่อ มันมีข้อมูลมากพอไหมในระบบเครดิตบูโรมีกฎหมายรองรับหลักประกันทางธุรกิจที่หลากหลาย  เชื่อถือได้หรือไม่ มีการให้บริการแบบไม่ใช้กระดาษ มายื่นมาแสดงด้วยตนเอง  สามารถทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์  ระบบอินเทอร์เน็ตหรือที่เราเข้าใจในเวลานี้คือให้บริการแบบดิจิทัลนั่นเอง

ในส่วนท้ายเขาจะวัดเรื่องในกรณีที่กิจการมีปัญหา กระบวนการทางศาล ทางคดีความทำได้รวดเร็วหรือไม่ การยึดทรัพย์บังคับคดีเร็วไหม การแก้ไขฟื้นฟูกิจการทำได้รวดเร็วไหม

คนทำธุรกิจล้ม ได้ แต่ลุกขึ้นได้เร็ว สามารถไปต่อได้ เจ้าหนี้เสียหายก็ได้รับคืนในอัตราสูง  และถ้าเราเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือเป็นเสียง ส่วนน้อย  กฎหมายได้รองรับสิทธิในการเป็นเสียงส่วนน้อยที่เจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องรับฟังเป็นต้น

จะเห็นได้ว่ารายงานดังกล่าวเป็นการวัดและประเมินสิ่งที่ระบบเศรษฐกิจ  ภาคราชการ  กฎหมาย  กฎระเบียบ และการทำงานของภาครัฐกระทำ หรือปฏิบัติต่อกิจการต่างๆ ที่ก่อตั้งส่วนใหญ่คือเอกชนว่ามีการอำนวยความสะดวกไหม ถ้าเอกชนจะทำธุรกิจ หรือสร้างแต่ปัญหา สร้างแต่อุปสรรค ไม่ทำแบบที่โลกเขาทำกัน และสิ่งที่กำหนดให้เอกชน ทำ เจ้าของธุรกิจทำนั้นมันมีตั้งแต่เริ่มต้น จนจบชีวิตของธุรกิจนั่นเอง เรียกว่าครบวงจรกันเลยทีเดียว

รายงานฉบับล่าสุดพบว่าประเทศไทยถูกประเมินอยู่ในอันดับที่27 หรืออยู่ในประเทศ 30 ประเทศแรกที่มีความยากง่ายในการประกอบธุรกิจจากจำนวนมากกว่า 190 กว่าประเทศ

เราจึงควรภาคภูมิใจและตบมือให้กับหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่เป็นแม่งานหลักในการประสานงาน ผลักดันงาน สร้างกลไกการขับเคลื่อน ให้เกิดกับหน่วยงานต่างๆ

มิฉะนั้นมันก็จะเข้าสู่วงจรแห่งการต่อต้านการสร้างแรงเฉื่อยและการไม่ร่วมมือภายใต้ความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่เอาจริงเอาจังลงมากำกับบทบาทจี้บี้ตั้งเป้าตรวจการบ้านอย่างหนักอย่างบ่อยประเทศเราจึงมาได้ถึงตรงนี้ และคงจะเดินต่อไปอีก  เพราะทุกประเทศต่างก็พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งไม่มีใครรอใคร

สิ่งที่ผู้เขียนกังวลใจคือ คณะที่จะมารับไม้ต่อ คณะที่มาขออาสารับทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมืองเรา จะทำได้ดีขนาดไหน เข้าใจไหมว่ามันสำคัญ เข้าใจไหมว่าประเทศต้องถูกประเมิน และธุรกิจต้องการความสะดวกที่รอบคอบรัดกุมโปร่งใสในการทำงาน

แต่ที่ผมเห็นพวกเขากำลังดำเนินการกันอยู่มันมีแต่ วาทกรรม คุณแย่ ข้าทำได้ดีกว่า ดีแต่พูด ไม่เห็นรูปธรรมที่จับต้องได้  คิดแต่จะรื้อรัฐธรรมนูญ  เอาแต่จะจัดสรรอำนาจราชศักดิ์กัน พอมีเรื่องตูมตามขึ้นมาหรือพอมีคนเสียชีวิตจากเหตุทางการเมือง ก็ปัดว่าข้าไม่เกี่ยวคนอื่นทำ  มันจะมีใครบ้างหนอในอนาคต ในปีหน้าที่จะเข้าอกเข้าใจว่าโลกมันหมุนไวกว่าที่คิด  เพียงรายงานประเมินฉบับเดียวมันส่งพลังให้เกิดการ

เปลี่ยนแปลงในกระบวนการให้บริการจากฝั่งภาครัฐได้ถึงขนาดนี้ขนาดที่ทำให้ประเทศไทยต้องถีบตัวเองไปอยู่ในกลุ่ม 30 ประเทศแรกของโลกเลยทีเดียว